ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบกับภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก แต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้อาจเป็นเพียงแค่สัญญาณเตือนของภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่กำลังรอวันเกิดขึ้นในอนาคต อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น รูปแบบฝนที่เปลี่ยนแปลง การพัฒนาเมืองที่รุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติและการบริหารจัดการน้ำที่ไม่ดีพอ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทวีความรุนแรงให้กับอุทกภัยครั้งใหม่
แล้วเราจะรับมืออย่างไร หรือมีแนวทางป้องกันอย่างไรเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย…
น้ำท่วม…ปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยชาชิน
ประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุม และมีช่วงฤดูฝนยาวนาน ทำให้ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ปัญหาน้ำท่วมจึงเกิดขึ้นทุกปีในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงฤดูมรสุมเดือนกันยายนถึงตุลาคมที่พื้นที่กรุงเทพฯ เขตปริมณฑลและพื้นที่ลุ่มน้ำในหลายจังหวัดจะประสบกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้บันทึกเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ ย้อนหลังไปกว่า 3 ทศวรรษพบว่าประเทศไทยเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นประจำต่อเนื่องทุกปี โดยเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่สุดเกิดขึ้นปีพ.ศ 2554 ที่หลายพื้นที่ทั่วประเทศได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย โดยมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบกว่า 65 จังหวัด มีผู้เสียชีวิต 680 คน มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 69.02 ล้านไร่ส่งผลกระทบต่อประชากร 13.4 ล้านคนและมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 1.43 ล้านล้านบาท อันเป็นผลจากปรากฎการณ์ลานีญา พายุโซนร้อน 5 ลูก ได้แก่ พายุโซนร้อนไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก ทำให้เกิดฝนตกหนัก มีปริมาณน้ำจำนวนมาก และน้ำจากภาคเหนือไหลลงมายังพื้นที่ภาคกลางอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการบริหารจัดการน้ำที่ขาดการบูรณาการอย่างดีพอและการปลูกสิ่งก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำ ลำคลอง จึงทำให้เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายมากที่สุด ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนอื่นอีกเป็นวงกว้าง 1
อย่างไรก็ตามปัญหาที่เรื้อรังดังกล่าว ทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเร่งพยายามหาทางแก้ไขเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม แต่ก็ต้องเผชิญกับท้าทายหลายประการ ได้แก่
- การขาดแคลนทรัพยากรและงบประมาณอันจำกัด โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อน อ่างเก็บน้ำ และระบบระบายน้ำ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ภาครัฐไม่สามารถจัดสรรได้อย่างเพียงพอ
- การบริหารจัดการและการเตือนภัยที่ไม่เป็นระบบ เพราะขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงขาดการบูรณาการข้อมูล จึงทำให้การวางแผนและการดำเนินการต่าง ๆ ขาดประสิทธิภาพ
- การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วโดยขาดการวางแผนที่ดีพอ เกิดปรากฎการณ์เกาะความร้อนในเมือง ทำให้เกิดคลื่นความร้อนจัดและฝนตกรุนแรง พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติถูกบุกรุก การระบายน้ำได้ไม่เต็มที่ รวมถึงการขาดความรับผิดชอบของผู้ประกอบการบางกลุ่มที่ตั้งพื้นที่หรือปรับปรุงสถานประกอบการกีดขวางทางน้ำ
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันมีความรุนแรงขึ้น ทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากขึ้น พายุเพิ่มขึ้นและมีระดับความรุนแรงขึ้น รวมไปถึงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่คาดเดาและรับมือได้ยาก
ไทยกำลังเผชิญกับอุทกภัยที่จะทวีความรุนแรงขึ้น ?
รายงานจากนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ World Weather Attribution, Red Cross Red Crescent Climate Centre และ Climate Central ได้ประเมินอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วโลก (ภาพที่ 1) พบว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 – เมษายน 2567 โดยโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยร้อนที่สุดติดต่อกันยาวนานถึง 11 เดือนจนทุบสถิติอันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดคลื่นความร้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้คนนับพันล้านคน เหตุการณ์เหล่านี้มีแนวโน้มจะเกิดยาวนานและรุนแรงมากขึ้น3 เช่นเดียวกับรายงาน WMO State of the Climate in Asia 2023 ยังแสดงให้เห็นว่าเอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่ได้รับภัยพิบัติมากที่สุดในโลกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอันตรายที่เกี่ยวข้องกับน้ำอันเป็นผลกระทบจากคลื่นความร้อนที่รุนแรงมากขึ้น (ภาพที่ 2) โดยในปี 2566 เกิดน้ำท่วมและพายุที่รุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุด5


ที่มา https://wmo.int/media/news/widespread-parts-of-asia-and-africa-reel-under-extreme-weather
รายงานข้างต้นสอดคล้องกับรายงานความเสี่ยงทั่วโลกปี 2024 (The Global Risks Report 2024) ที่คาดการณ์ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าโลกจะเผชิญความเสี่ยงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเป็นอันดับต้น ๆ และ 10 ปีข้างหน้าโลกจะมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วถือเป็นความเสี่ยงอันดับแรกที่โลกต้องเผชิญ4 เมืองต่าง ๆ ทั่วโลกจะกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเผชิญคลื่นความร้อนจัด โดยเฉพาะตามหัวเมืองสำคัญของประเทศไทย เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรสูง การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วโดยขาดการวางแผนที่ดีพอ และรูปแบบการพัฒนาที่ดินที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสภาพแวดล้อมของเมืองที่เต็มไปด้วยพื้นผิวดูดซับความร้อน เช่น พื้นที่ที่สร้างขึ้นมาแทนที่พื้นดินตามธรรมชาติ ตึกสูงระฟ้า ถนนคอนกรีต เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ซึ่งสร้างและกักเก็บความร้อนไว้ส่งผลให้เมืองมีอุณหภูมิสูงขึ้นในตอนกลางวันและยังป้องกันไม่ให้เย็นลงในเวลากลางคืนอีกด้วย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนยิ่งเพิ่มระดับความเข้มข้นของความร้อนในเกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) ที่ส่งผลให้เกิดพายุที่รุนแรง ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นและน้ำท่วมฉับพลันอีกด้วย7
นอกจากนี้องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO คาดการณ์ว่า อิทธิพลจากอุณหภูมิของมหาสมุทรที่อบอุ่นขึ้นเป็นประวัติการณ์ในมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนืออาจส่งผลต่อการเกิดพายุและปริมาณน้ำฝนที่รุนแรง รวมถึงปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ5 สอดคล้องกับรายงานการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในประเทศไทย สำนักงานเพื่อการลดความเสี่ยงแห่งสหประชาชาติ หรือ The United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผขิญภัยพิบัติมากมาย ทั้งน้ำท่วม พายุฝนและภัยแล้ง โดย “น้ำท่วม” เป็นภัยพิบัติที่มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับแรกที่จะเกิดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งผลกระทบจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยพื้นที่เนินเขาทางภาคเหนือและภาคใต้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดแผ่นดินถล่มอันเนื่องมาจากพายุฤดูร้อนที่ทำให้ฝนตกต่อเนื่องยาวนาน9
ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยยังเผชิญกับปรากฏการณ์เอนโซ (สภาวะที่เอลนีโญมีกำลังอ่อนลงและเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง) และคาดว่าจะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยจะเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่และฝนที่ตกสะสมอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำผ่านและพื้นที่ลุ่ม6 ปริมาณฝนที่ตกจะใกล้เคียงค่าปกติหรืออาจมีบางวันที่ฝนตกมากกว่าค่าปกติในลักษณะ Extreme คือมีปริมาณฝนเกิน 100 มิลลิเมตรขึ้นไปในช่วง 24 ชั่วโมงหรือเรียกว่าปรากฏการณ์ฝนตกหนักแบบสุดขั้ว8

ที่มา https://www.tmd.go.th/
จากข้อมูลข้างต้นคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูมรสุมประกอบกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มน้ำและพื้นที่ชายฝั่งทะเลเสี่ยงต่อน้ำท่วมฉับพลัน น้ำท่วมขังเรื้อรังที่จะขยายวงกว้างและเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ สิ่งแวดล้อม ระบบสาธารณูปโภค ระบบเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ความเป็นอยู่และสุขภาพของประชาชนอีกด้วย ส่วนฝนที่ตกหนักในระยะสั้นอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ที่มีระบบระบายน้ำไม่ดีพอ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมเดิม เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน จะเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น ดินโคลนถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก ขณะเดียวกันพื้นที่เสี่ยงใหม่ เช่น ภาคตะวันออก ภาคใต้ ก็มีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้พื้นที่ชายฝั่งทะเลจะเผชิญกับปัญหาน้ำทะเลหนุนสูงท่วมบ่อยครั้ง ปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
อีกสิบปีพื้นที่ลุ่มน้ำกว่า 1 ใน 4 ของไทยจะจมอยู่ใต้น้ำ ?
อีกปัจจัยของการเกิดน้ำท่วมที่สำคัญคือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่ง NASA แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 4 นิ้ว (9.4 เซนติเมตร) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 และเพิ่มขึ้นเป็นอัตราการเร่งมากกว่าสองเท่าจาก 0.07 นิ้ว (0.18 เซนติเมตร) ต่อปีในปี 1993 เป็นอัตรา 0.17 นิ้ว (0.42 เซนติเมตร) ต่อปีในปัจจุบัน ทั้งยังคาดการณ์ว่าด้วยอัตราเร่งนี้จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 20 เซนติเมตรภายในปี 259311 โดยเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ 1. น้ำแข็งขั้วโลก ธารน้ำแข็งและบนภูเขาสูงละลาย 2. การขยายตัวเนื่องจากความร้อน (Thermal Expansion) ของน้ำทะเล และ 3. การที่พื้นดินไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้10

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP ที่เปิดเผยว่าทั่วโลกเผชิญกับน้ำท่วมชายฝั่งเพิ่มขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอันเป็นผลมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและทำให้ผู้คนมากกว่า 70 ล้านคนที่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งและพื้นที่ราบที่น้ำท่วมถึงได้รับผลกระทบ และคาดว่าจะเกิดการสูญเสียที่ดินจำนวนมากและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจนทำให้หลายพื้นที่จมอยู่ใต้น้ำถาวร ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีผู้คนอาศัยอยู่ในชุมชนชายฝั่งราว 14 ล้านคน และมีโอกาสเกิดน้ำท่วม 1 ใน 20 ต่อปี นอกจากนี้ UNDP ยังจำลองภาพสถานการณ์ของประเทศไทยเมื่อระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคาดการณ์ว่าใน 10 ปี ข้างหน้า (2020-2039) ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 8.7 เซนติเมตร และกลางทศวรรษ (2040-2059) หรืออีก 20 ปีข้างหน้าระดับน้ำทะเลจะสูงถึง 19.43 เซนติเมตร ซึ่งพื้นที่ 1 ใน 4 ของไทยจะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

นอกจากนี้แผนที่การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและน้ำท่วมชายฝั่งของ Climate Central จำลองให้เห็นว่าเมื่อระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 8.7 เซนติเมตร หรือประมาณ 0.1 เมตร พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบครอบคลุมในหลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลและภูมิภาคที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล รองลงมาคือภาคใต้และภาคตะวันออกตามลำดับ ในขณะที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ได้รับผลกระทบ สำหรับจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมีทั้งสิ้น 25 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทราปราการ นนทบุรี สมุทรสาคร ปทุมธานี นครนายก สมุทรสงคราม ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สงขลา พัทลุง นครศีธรรมราษฎร์ สตูล ปัตตานี และนราธิวาส12


ผลกระทบ
การน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเกษตร และสาธารณูปโภค รวมถึงความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
การน้ำท่วมอาจทำลายทรัพย์สิน ทำให้เกิดความสูญเสียในธุรกิจ และส่งผลกระทบต่อการเกษตร ทำลายพื้นที่ปลูกข้าว ผัก และพืชอื่นๆ

เตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติอย่างไร
ภาคประชาชนควรต้องติดตามข่าวสารสภาพอากาศและประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสม่ำเสมอ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดการปลูกพืชหรือทำเกษตรกรรมในพื้นที่ราบต่ำ รวมถึงการดูแลรักษาความสะอาดและปรับปรุงระบบระบายน้ำในพื้นที่ โดยร่วมกันสอดส่องดูแลพื้นที่ในชุมชนให้ทิ้งขยะให้ถูกที่ ขจัดสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำ เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและวางแผนรับมือเมื่อต้องเผชิญเหตุ เช่น การอพยพ สถานที่พักพิง เส้นทางหนีภัย และเตรียมสิ่งของจำเป็น ยารักษาโรค เอกสารสำคัญที่ต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัย และเมื่อต้องประสบกับน้ำท่วม ควรดูแลสุขภาพให้ดี ระมัดระวังโรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคฉี่หนู โรคน้ำกัดเท้า โรคไข้เลือดออก โรคอาหารเป็นพิษ เป็นต้น2
สำหรับภาคเอกชนต้องดำเนินการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงจากน้ำท่วม โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความต่อเนื่องของธุรกิจ เช่น พื้นที่ตั้ง ประเภทธุรกิจ ห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น และวางแผนรับมือ โดยกำหนดมาตรการป้องกันความเสียหายและลงทุนในระบบป้องกันน้ำท่วม เช่น การสร้างเขื่อนหรือผนังกั้นน้ำ การยกระดับพื้นที่เก็บสินค้า การสำรองสินค้า การติดตั้งเครื่องปั๊มน้ำและระบบเตือนภัย การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรอบพื้นที่ดำเนินงาน การทำประกันภัย และการร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมทั้งสื่อสารให้กับพนักงาน ลูกค้า คู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสียทราบเกี่ยวกับแผนรับมือน้ำท่วมและแนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ควรจัดทำแผนฟื้นฟูธุรกิจหลังน้ำท่วมด้วย
ส่วนภาครัฐควรเร่งบูรณาการข้อมูลและประสานความร่วมมือในเชิงรุกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยติดตาม ประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดและแจ้งให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างโปร่งใส ทันท่วงที พร้อมทั้งควบคุมและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำอย่างเข้มงวด กำหนดนโยบายหรือมาตรการป้องกันน้ำท่วมและแผนฟื้นฟูเมื่ออุทกภัยได้ผ่านพ้นไป รวมทั้งบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ เช่น ระบบชลประทาน ฝาย และเขื่อนกักเก็บน้ำ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งและปกป้องเมืองให้ปลอดภัย รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการพยากรณ์อากาศและการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันที่ทันสมัย การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีระบบ การบำรุงรักษาโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมให้พร้อมรับสถานการณ์ เช่น ประตูน้ำ ผนังกั้นน้ำ คลอง ฝายหรือระบบระบายน้ำในพื้นที่ให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ และการจัดทำประกันอุทกภัยระดับชาติหรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือชุมชนหรือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ซับน้ำ การปลูกป่าชายเลน ฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และลดการใช้พื้นที่ป่าอย่างไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการน้ำ และรู้วิธีป้องกันตนเองจากภัยพิบัติ
แม้ว่าแนวโน้มสถานการณ์น้ำท่วมของประเทศไทยสะท้อนอย่างชัดเจนว่าอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการที่ภาคประชาชน ภาครัฐและภาคเอกชนต่างต้องเตรียมพร้อมรับมือ ติดตามข่าวสาร วางแผนเผชิญเหตุ และบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในการป้องกัน แก้ไข เฝ้าระวังและเตือนภัยอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง ความสุญเสียและความรุนแรงจากน้ำท่วมในอนาคตได้ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ
การเตรียมพร้อมรับมือกับอุทกภัยครั้งใหม่ของทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
คำถามจึงอยู่ที่ว่า วันนี้…พวกเราเตรียมพร้อมรับมือกับอุทกภัยครั้งใหม่แล้วหรือยัง
แหล่งข้อมูล:
- สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน). 2567. บันทึกเหตุการณ์น้ำท่วม. [Online] Available at: http://tiwrm.hii.or.th/thaiwater_l5/public/archive
- วินัย รัตนสุวรรณ. โรคที่มากับน้ำท่วม. [Online] Available at: https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=926
- Roop K. Singh. 2024. Global Heat Action Day. [Online] Available at: https://www.climatecentral.org/climate-matters/global-heat-action-day
- World Economic Forum. 2024. The Global Risks Report [Online] Available at: https://www.weforum.org/publications/global-risks-report-2024/.
- World Meteorological Organization (WMO). Widespread parts of Asia and Africa reel under extreme weather. [Online] Available at: https://wmo.int/media/news/widespread-parts-of-asia-and-africa-reel-under-extreme-weather
- กรมอุตุนิยมวิทยา. 2567. [Online] Available at: https://www.tmd.go.th/
- Luz E. Torres Molina, Sara Morales and Luis F. Carrión. 2019. Urban Heat Island Effects in Tropical Climate. Vortex Dynamics Theories and Applications. [Online] Available at: https://www.intechopen.com/chapters/71293
- Thai PBS. 5 มิถุนายน อากาศแปรปรวนจ่อเผชิญ “ลานีญา” ระวัง “ฝนตกหนักสุดขั้ว”. [Online] Available at: https://www.thaipbs.or.th/news/content/340717
- UNDRR, 2020. Disaster Risk Reduction in Thailand: Status Report Bangkok, Thailand, United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR), Regional Office for Asia and the Pacific
- NASA, 2024. Global Mean Sea Level. [Online] Available at: https://sealevel.nasa.gov/understanding-sea-level/global-sea-level/overview/
- Jet Propulsion Laboratory, 2024. NASA Analysis Sees Spike in 2023 Global Sea Level Due to El Niño. [Online] Available at: https://www.jpl.nasa.gov/news/nasa-analysis-sees-spike-in-2023-global-sea-level-due-to-el-nino
- Climate Central, 2024. Land Below 0.1 Meters of Water. [Online] Available at: https://coastal.climatecentral.org/
- https://hdr.undp.org/content/climate-changes-impact-coastal-flooding-increase-five-times-over-century#:~:text=The%20extent%20of%20coastal%20flooding,of%20flooding%2C%20new%20data%20reveals
https://www.bangkokbiznews.com/environment/1099614
youtube.com/watch?v=c_f4twA70BQ
https://www.tmd.go.th/
https://www.dgr.go.th/
กรมอุตุนิยมวิทยา: https://www.tmd.go.th
กรมชลประทาน: https://www.rid.go.th/
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.): https://www.prd.go.th/
องค์การบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (อผภ.): https://www.wras.go.th/
หนังสือ “ประวัติศาสตร์ไทย: บทเรียนจากอุทกภัย” โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งชาติ (วช.)
