การทุจริตการคอร์รัปชั่นถือเป็นภัยร้ายที่ทำลายความมั่นคงของชาติและกลายเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการของระบบอุปถัมภ์ในอดีตระหว่างผู้ที่มีอำนาจหรือมีสถานภาพที่เหนือกว่ากับผู้ที่ด้อยกว่า ในลักษณะที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่ง ศิริวรรณ มนอัตระผดุง (2555) กล่าวว่าที่มาของปัญหานี้เกิดจากปกครองในรูปแบบสมบูรณายาสิทธิราชที่สร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจสังคมแนวดิ่งระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง (Vertical Relations) มีการเอื้อเฟื้อ เอื้อประโยชน์ จุนเจือกันในวงญาติ (Nepotism) และพวกพ้อง (Patronage)
อย่างไรก็ตามเมื่อการอุปถัมภ์ค้ำชูดังกล่าวแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำเพื่อต้องการผลประโยชน์ตอบแทนโดยมิชอบทั้งทางด้านกฎหมายหรือศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้องก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบทางด้านลบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งการทุจริตกลายเป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พัฒนาการของการทุจริตในปัจจุบันเริ่มทำอย่างเป็นระบบที่มิใช่แค่การทุจริตของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นการร่วมมือกันทุจริตของกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่ม และเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนมากขึ้น จึงทำให้ตรวจจับและปราบปรามเป็นไปได้ยาก ทั้งยังนำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมายมหาศาล โดยมีตัวแปรสำคัญประการหนึ่ง คือ “ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่ใช้อำนาจหรือละเว้นซึ่งอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในตนเองและพวกพ้อง
ด้วยเหตุนี้การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐจึงกลายเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลทุกยุคสมัยรวมถึงรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่งได้วางแนวทางในการขับเคลื่อนยโยบายในหลายแนวทางในการสร้างมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ให้เกิดขึ้นแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชนด้วยการให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตลอดจนสนับสนุนการสร้างค่านิยมของสังคมให้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริตและถูกต้องชอบธรรม (โชคสุข กรกิตติชัย, 2561)
ถึงกระนั้นสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยกลับไม่ได้ดูคลี่คลายลงไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการรายงานผลของหลายองค์กรกำกับดูแลทั้งในและต่างประเทศที่ระบุว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาที่ฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย แม้ว่าจะมีความพยายามในการลดระดับความรุนแรงของปัญหาโดยการตั้งองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบขึ้นมามากมาย แต่ก็ยังไม่ปรากฏเป็นรูปธรรมว่าจะมีมาตรการใดที่แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล บทความนี้จึงทบทวนองค์ความรู้และแนวความคิดจากเอกสารวิชาการต่างๆเพื่อมุ่งหวังให้มีการเพิ่มบทบาทของการมีส่วนร่วม การสร้างความเคลื่อนไหวทางสังคมและการประยุกต์ใช้สื่อใหม่ของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันเพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
สถานะการคอร์ปชันในประเทศไทย
World Economic Forum (2017) ได้จัดทำ The Global Competitiveness Report 2017-2018 ระบุว่า 1 ใน 5 ปัจจัยที่เป็นปัญหาสำคัญต่อการทำธุรกิจในประเทศไทย คือการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ถูกระบุในรายงานอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและยังกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข
ขณะที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล (Transparency International) ได้เผยแพร่ดัชชีการรับรู้การทุจริต ประจำปี 2018 (Corruption Perceptions Index: CPI) จากการสำรวจและจัดอันดับจาก 180 ประเทศทั่วโลกพบว่า ประเทศไทยได้ 36 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ลดลงจากปี 2017 เพียง 1 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกอยู่ที่ 44 คะแนน ซึ่งประเทศไทยอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของภูมิภาค ส่งผลให้อันดับลดลงจากปี 2017 ในอันดับที่ 96 มาอยู่ที่อันดับที่ 99 ของโลก ซึ่งเท่ากับประเทศในภูมิภาคอาเซียนคือ กัมพูชาและฟิลิปปินส์ แต่อันดับยังคงตามหลังอีกหลายประเทศได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยระบุสาเหตุมาจากระบบข้าราชการยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องรับสินบนได้ ประกอบกับองค์กรตรวจสอบทุจริตขาดความเข้มแข็งและเอาจริงเอาจัง (Transparency International, 2019) ซึ่งสอดคล้องจากการศึกษาของ ศิริวรรณ มนอัตระผดุง (2555) ที่ระบุว่าการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยเป็นปัญหาสังคมที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน และจากการศึกษาการจัดอันดับดัชนี CPI สะท้อนให้เห็นว่าการคอร์รัปชั่นของประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับสูง คือได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์มาก ซึ่งสาเหตุการคอร์รัปชั่นที่พบในสังคมจำแนกได้ 4 ด้าน ได้แก่ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจและการครองชีพที่ประชาชนซื้อความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีรายได้ไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับรายจ่าย ด้านระบบบริหารราชการบกพร่องไม่กำกับดูแลให้เป็นไปตามระเบียบวินัย ด้านสังคมวัฒนธรรมและศีลธรรมที่เน้นวัตถุนิยมมากกว่าความดี และด้านกฎหมายและวิธีพิจารณาที่มีความยุ่งยากในการหาพยานหลักฐานและขั้นตอนมากมายในการสอบสวน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาพของการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในระดับสากลจะยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร แต่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากรายงานผลการดำเนินการปราบปรามการทุจริตของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหาข้าราชการต่ำกว่าผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่าลงมา ประจำเดือน มกราคม 2562 ระบุจำนวนเรื่องกล่าวหา ร้องเรียนการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2562 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 35,652 คดี โดยแป็นเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.พิจารณาแล้ว 23,412 คดี (ป.ป.ท., 2562)
ขณะที่ ป.ป.ช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหาข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงหรือข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้อำนวยการกองขึ้นไป หรือร่วมกระทำความผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ระบุสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 5 ปี ย้อนหลังพบว่ามีการกล่าวหาร้องเรียนมากที่สุด ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557-2561 3 ลำดับ คือ 1. การทุจริตเกี่ยวกับจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีแนวโน้มที่ลดลงในปี 2560 – 2561 2. การทุจริตเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมและความมั่นคง ซึ่งมีแนวโน้มที่สูงขึ้นและ 3. การทุจริตเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ มีแนวโน้มคงที่ ซึ่งมีคดีทุจริตที่มีผู้กล่าวหาร้องเรียนรวม 506 คดีต่อเดือน (ป.ป.ช., 2562) สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งสิ้นจำนวน 2,727 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 23 เมษายน 2561) โดยเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้องมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 402 คน อันดับที่ 2 กระทรวงมหาดไทย 368 คน อันดับที่ 3 องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 351 คน อันดับที่ 4 กระทรวงศึกษาธิการ 348 คน และอันดับที่ 5 เทศบาล 195 คน (โชคสุข กรกิตติชัย, 2561)
นอกจากนี้จากรายงานผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริต ประจำปี 2561 (Shining a light on fraud: Economic Crime Survey in Thailand) ของ PwC ซึ่งทำการสำรวจทุกๆ 2 ปี โดยสำรวจกลุ่มองค์กรธุรกิจต่างๆ ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทเอกชน และหน่วยงานภาครัฐในประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 522 บริษัทพบว่า เกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 48% ของบริษัทในประเทศไทยตกเป็นเหยื่อการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสูงกว่าผลการสำรวจเมื่อปี 2559 ที่มีเพียงประมาณ 1 ใน 4 ของบริษัทในประเทศไทยเท่านั้นที่ยอมรับว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นในองค์กร และประเภทของการทุจริตที่พบได้มากที่สุดในประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือ การยักยอกสินทรัพย์ (Asset misappropriation) โดยคิดเป็น 62% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ 45% รองลงมาเป็นการประพฤติผิดทางธุรกิจของไทย (Business misconduct) คิดเป็น 40% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ 28% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายป้องกันการทุจริตในองค์กรยังมีช่องโหว่และกลายเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้มีการแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่สีเทา (PwC , 2018)
รายงานข้างต้นสอดคล้องกับดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยที่สำรวจประชาชน ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และข้าราชการ ภาครัฐ จำนวน 2,400 ตัวอย่าง พบว่าความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น สูงขึ้น 37% และเมื่อคาดการณ์ความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในปี 2561 สูงขึ้น 48% โดยสาเหตุสำคัญในการเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ส่วนใหญ่มาจากกฎหมายเปิดโอกาสให้สามารถใช้ดุลยพินิจที่เอื้อต่อการทุจริตถึง 18.8% รองลงมาเป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก 15.6% และความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบ 14.7% ขณะที่รูปแบบการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยที่เกิดขึ้นบ่อยพบสุดคือการให้สินบนของกำนัลหรือรางวัลต่างๆ 19.6% การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก 16.2% และการทุจริตเชิงนโยบายโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 13.8% (ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, 2561)
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสถิติของการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยจะยังคงสูง และมีตัวเลขของคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตมีค่อนข้างมากและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เห็นว่าองค์กรในประเทศไทยเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงด้านการทุจริตและสามารถตรวจพบเหตุทุจริตได้เพิ่มขึ้น มากกว่าที่จะสื่อว่า จำนวนของเหตุทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมีสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมไทยเปิดรับวัฒนธรรมการทำธุรกิจการบริหารงานแบบโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนมากขึ้น และได้เห็นถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ผ่านกลไกการปราบปรามในการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ซึ่งการต่อต้านการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐไม่อาจประสบผลสำเร็จได้เพียงลำพัง ภาครัฐยังต้องการความร่วมมือจากภาคเอกชนและภาคประชาชนในการร่วมกันป้องกันและปราบปรามการทุจริตในแบบบูรณาการ ตลอดจนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อกระตุ้นให้ปัญหาดังกล่าวอยู่ในกระแสความสนใจของสังคมไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
สื่อใหม่กับการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ
การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีสื่อใหม่ไม่เพียงแต่จะมีบทบาทสำคัญในการทลายขอบเขตของภูมิทัศน์สื่อมวลชนที่มีข้อจำกัดให้หมดสิ้นลงไปแล้ว สื่อใหม่ยังแสดงบทบาทสำคัญในการถ่วงดุลข้อมูลข่าวสารจากสื่อกระแสหลักที่ส่วนใหญ่ถูกครอบด้วยอำนาจรัฐ การเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจจนเป็นปัจจัยที่เอื้อให้ผู้คนในสังคมขาดการเฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจรัฐได้อย่างเต็มที่ และนำไปสู่การเกิดทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐอยู่เสมอ ซึ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบการดำเนินงานต่างๆของภาครัฐ ตลอดจนความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Kanchana D. G. & Samarakoon A. K., 2018) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยียังสามารถลดการแทรกแซงของมนุษย์โดยไม่จำเป็น และทำให้ขั้นตอนของการบริหารงานโปร่งใสมากยิ่งขึ้น (Kim Kibum & Kang Taewon, 2017)
อย่างไรก็ดีสื่อใหม่ที่โดดที่สุดในปัจจุบันคือ อินเตอร์เน็ต และ Website ที่สามารถถ่วงดุลอำนาจจากสื่อกระแสหลักและเพิ่มความเป็นธรรมเชิงสังคมด้วยข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างอิสระ ซึ่งในประเทศเสรีจะพบ Website ข่าวสารในรูปลักษณ์หนังสือพิมพ์ on-line จำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีราคาถูก และเป็นทรัพยากรการสื่อสารที่โดดเด่นในการรายงานข้อมูลข้อเท็จจริงของสื่อได้อย่างอิสระ ยิ่งสื่อมีความสามารถรายงานข่าวสารด้านทุจริตมากเท่าไร ประชาชนย่อมมีทางเลือกที่จะเข้าถึงข้อมูลทุจริตได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนตระหนักถึงพฤติกรรมทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐและสามารถนำไปกำหนดทิศทางหรือกิจกรรมต่อต้านการทุจริตได้มากขึ้น รวมทั้งกดดันให้เกิดการตรวจสอบ ไปจนถึงการร่วมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการฟ้องร้องในฐานะตัวแทนที่ได้รับความเสียหายอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีล้ำสมัยด้านต่างๆ ในปัจจุบันที่สามารถนำมาผนวกเข้ากับข้อมูลดิจิทัลที่มีอยู่มากมายอาทิ Big data analytics, Blockchain, AI (Artificial Intelligence), BI (Business Intelligence) ซึ่งในต่างประเทศเทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนในหลายภาคส่วนแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ภาคการเมือง สำหรับประเทศไทย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคณะ (2560) ได้เสนอให้ใช้เทคโนโลยียุคใหม่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การใช้วิธี Crowdsourcing หรือการรับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจ่ายสินบนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันจากสมาร์ทโฟน การกําหนดให้การให้บริการรัฐต้องดําเนินการผ่านระบบออนไลน์และร้องขอข้อมูลจากประชาชนในรูปดิจิตอล เพื่อผู้ใช้บริการไม่จําเป็นต้องดําเนินการผ่านเจ้าหน้าที่รัฐ และการประมวลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data mining) เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การประมวลฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งเพื่อบ่งชี้รายการจัดซื้อจัดจ้างที่อาจส่งปัญหาการทุจริต เช่น มีกระบวนการที่รวดเร็วผิดปกติมีการจัดจ้างพิเศษ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ Big Data จึงเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ปรับปรุงระบบงานและติดตามตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะการนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการใช้เงินงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง ข้าถึงข้อมูล Big Data ทำให้เห็นภาพของปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างได้กว้างและลุ่มลึกมากขึ้น ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐจึงสำคัญและจำเป็นในการยกระดับการพัฒนาประเทศ และยิ่งมีการรวมฐานข้อมูลของหลายๆ หน่วยงานไว้ในที่เดียวจะยิ่งทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลและโจทย์ของงานวิจัยไปได้ไกลขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ ตลอดจนมาตรการในการป้องกัน ปราบปรามปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่ตรงจุด (ภวินทร์ เตวียนันท์, 2560) นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยคาดการณ์และวิเคราะห์ได้แม่นยำมากขึ้น ภาครัฐสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งบประมาณได้ดียิ่งขึ้น แต่ในปัจจุบันภาครัฐยังมีการใช้ประโยชน์จาก Big Data น้อยมากเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจ (วิชาญ ทรายอ่อน, 2559)
ในส่วนของภาคประชาชน แม้จะมี พรบ. อำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการ ที่กำหนดการทำงานของภาครัฐ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อบริการภาครัฐที่ได้รับ รวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกเรียกรับสินบนโดยเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าหน่วยราชการบางแห่งก็ยังไม่สามารถให้บริการกับประชาชนได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดโครงการ Citizen Feedback ขึ้นจากความริเริ่มของแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) โดยความร่วมมือของสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย (TMRS) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) Hand Social Enterprise และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ที่สร้างพื้นที่ให้ประชาชนทั่วไปสามารถสะท้อนความเห็นเกี่ยวกับบริการที่ได้รับจากหน่วยงานรัฐ โดยใช้โทรศัพท์มือถือในการสแกน QR Code ที่ติดตั้งอยู่ที่หน่วยงานที่ไปใช้บริการ ซึ่งจะนำไปสู่การตอบแบบสอบถามออนไลน์สั้น ๆ โดยผู้ตอบสามารถให้คะแนนความพึงพอใจของบริการที่ได้รับ ความประทับใจ และอุปสรรคจากการใช้บริการ รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายสินบนด้วย ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถทำการประเมินที่ได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถให้ข้อมูลตามความเป็นจริงได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน และยังสามารถติดตามผลการประเมินได้ตลอดเวลาอีกด้วย (พิษณุ พรหมจรรยา, 2560).
จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ในโครงการดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการบริหารจัดการทั้งภาครัฐและเอกชนที่เริ่มมีการนำระบบอัตโนมัติ (Automation) และ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มาใช้ในการจัดการกับปัญหาและความเสี่ยงด้านต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในแง่ของการต่อต้านคอร์รัปชันสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านความสะดวกรวดเร็ว และประสิทธิภาพของกระบวนการในการติดตามการฝ่าฝืนกฎระเบียบปฏิบัติที่เป็นสัญญาณของการทุจริต
คอร์รัปชันด้วย
อย่างไรก็ดีจากผลการสำรวจ Annual Global CEO Survey โดย PWC (2019) พบว่า CEO บริษัทในโลกส่วนใหญ่กำลังศึกษาถึงประโยชน์ของการนำเครื่องจักรมาทำงานร่วมกับมนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในอนาคตเทคโนโลยี AI จะถูกนำมาใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น และจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการประมวลผลข้อมูล โดยอาศัย Algorithm ทำให้บริษัทติดตามข้อมูลต่างๆ และวิเคราะห์ความเสี่ยงได้แบบ real-time สามารถตรวจพบการกระทำที่อาจเป็นสัญญาณของการทุจริตคอร์รัปชันได้แต่เนิ่นๆ ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกวิธีบริหารจัดการที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงที่ปัญหาจะลุกลามไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยส่วนใหญ่แล้ว การทุจริตคอร์รัปชันในกรณีใหญ่ๆ มักจะมีสัญญาณที่สามารถตรวจพบได้ล่วงหน้าก่อน อย่างเช่นการฝ่าฝืนหรือยกเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ การรับหรือจ่ายเงินและการบันทึกบัญชีอย่างไม่ถูกต้อง โปร่งใส สมเหตุสมผล ซึ่งในอดีตการตรวจสอบความผิดปกตินี้เหล่านี้จะอาศัยสติปัญญาและกำลังคนเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดสำคัญ เพราะมีข้อมูลที่ต้องตรวจสอบมากมายแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอที่จะมาตรวจสอบข้อมูล เพราะฉะนั้นการนำเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ machine learning มาใช้เสริมกับการทำหน้าที่ของแรงงานคน จะช่วยให้สามารถตรวจพบสัญญาณการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) จึงพัฒนา AI เพื่อใช้เป็นเครื่องมือและกลไกสำคัญที่เอื้อให้เกิดการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งจะทำให้ประชาชนและองค์กรต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ โดยเรียกว่า “เครื่องมือสู้โกง (ACT Ai)” ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก 3 หน่วยงานรัฐ ได้แก่ 1. ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกรมบัญชีกลาง 2. คลังข้อมูลธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 3. ศูนย์กำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะมีส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนให้สามารถเอาชนะการทุจริตคอร์รั่ปชันได้ ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏอยู่ใน ACT Ai จะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับความยินยอมจากหน่วยงานให้สามารถเปิดเผยได้ ประกอบกับข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากสื่อมวลชน ภาคประชาสังคม นักวิชาการ ในทุกๆ มิติ โดยระบบจะประมวลผลข้อมูลเข้าหากันและเปิดให้สามารถใช้ได้ในทุก Platform ทั้งในรูปแบบของ Website และ Application ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนมองเห็นสถานการณ์คอร์รัปชัน และพยากรณ์ได้ว่าทิศทางหรือแนวโน้มการคอร์รัปชันในอนาคตจะเป็นอย่างไร นำไปสู่การพัฒนากลไกการต่อต้านในอนาคตต่อไป เครื่องมือสู้โกง (ACT Ai) มีจุดเด่นที่สำคัญ 10 ข้อ ได้แก่ 1. One Stop Big Data รวบรวมข้อมูลโครงการภาครัฐไว้มากที่สุด 2. Multi Keyword Search Engine ง่ายต่อการสืบค้น ค้นหาได้ตามความต้องการ รวดเร็ว ตรงประเด็น 3. Easy to Share สามารถแชร์ฐานข้อมูลได้ จัดเก็บได้สะดวกตามการใช้งานและการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ 4. Easy to Analyze But Powerful มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ มี Ai ช่วยคิด 5. Artificial Intelligence to Help Detect มีระบบตรวจจับ แจ้งเตือน เมื่อพบพฤติการณ์ฮั้วประมูล 6. Easy to Track Government Budget เกาะติดทุกการใช้งบประมาณรัฐ มีงบนโยบายเรื่องใดระบบรวบรวมให้ทั้งหมด 7. Alert System to Inform รู้โครงการรัฐรอบตัวด้วยระบบแจ้งเตือน ระบบบอกได้ว่าภาครัฐใช้งบทำอะไรบ้างในพื้นที่ของผู้ใช้งาน 8. All in Single Page and Linked รวบรวมข้อมูลไว้หน้าเดียว เข้าใจง่ายด้วยสถิติ กราฟฟิก 9. User System Make It Easy ระบบ User ช่วยจัดการทุกอย่างให้ง่ายขึ้นด้วยการจัดการทุกข้อมูล ณ จุดเดียว 10. Secured System มีระบบความปลอดภัยสูง (องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย), 2562)
นอกจากนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี blockchain ก็จะช่วยให้การติดตามและควบคุมธุรกรรมทางการเงินต่างๆ มีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น สามารถตรวจพบธุรกรรมที่น่าสงสัยได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถใช้ machine learning เพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และช่วยเราตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้มากมายอยู่แล้ว ซึ่งในอนาคตอาจจะได้เห็นการนำเทคโนโลยียุคใหม่เหล่านี้มาใช้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงด้านการทุจริตคอร์รัปชัน
ประกอบกับแนวโน้มที่ทั่วโลกใช้เงินสดลดลง และหันมาใช้ช่องทางการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเช่น บัตรเครดิต หรือ e-money แทน โดยจำนวนบัตรอิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ณ ไตรมาส 1 ปี 2561 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 100.5 ล้านใบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นบัตรเดบิต ซึ่งมีจำนวน 61.5 ล้านใบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 รองลงมาเป็นบัตรเครดิตที่มีจำนวน 20.9 ล้านใบและยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ e-Payment ยังคงเติบโตทั้งในเชิงปริมาณและมูลค่า โดยบริการที่เติบโตเด่นชัดที่สุดยังคงเป็นบริการโอนเงินและการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile banking) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของคนไทยที่เริ่มคุ้นชินกับเทคโนโลยีมากขึ้น (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2561) และยังช่วยให้หน่วยงานกำกับสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของการใช้จ่ายเงิน ตลอดจนลดความเสี่ยงต่อการจ่ายสินบนหรือค่าอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีใหม่ในรูปแบบของเว็ปไซต์ โทรศัพท์มือถือ แอปพลิเคชัน ฯลฯ เหล่านี้ถูกใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการรายงานการทุจริตและการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นทางการ และเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและความถูกต้องของการให้บริการของภาครัฐและระบบการเมืองของประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ข้อมูลทางการเงินมีความโปร่งใสยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีการสื่อสารยังสามารถสนับสนุนการรณรงค์ทางสังคมและช่วยระดมคนในการต่อต้านการทุจริตอีกด้วย (Sofia Wickberg, 2013)
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลไปมากขนาดไหนก็ไม่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเทคโนโลยีเอง การเปลี่ยนแปลงจะเกิดชึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์เท่านั้น เพราะฉะนั้นความท้าทายที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี หากอยู่ที่ว่าการปรับเปลี่ยนมุมมองและแนวความคิดของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ เพื่อนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ ตลอดจนประชาชนทุกคนที่ต้องตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการกระตุ้น ส่งเสียงสนับสนุนผู้กระทำดี และสร้างแรงกดดันกับผู้กระทำผิดด้วยการเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบต่างๆผ่านช่องทางสื่อที่หลากหลายและผนวกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยสร้างพลังของการขับเคลื่อนและนำไปสู่การขจัดปัญหาทุจริตคอร์รปชั่นให้หมดสิ้นไปได้อย่างสมบูรณ์
การเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในภาครัฐ
คนไทยส่วนใหญ่รู้ว่าประเทศไทยมีกระบวนการทุจริตคอร์รัปชันแทบทุกวงการ และส่วนใหญ่รับรู้และเคยชินกับวัฏจักรการคอร์รัปชันที่ฝังลึกอยู่ในพฤติกรรมของคนไทยบางกลุ่ม จนกลายเป็นค่านิยมของการยอมรับได้ ถ้าสุดท้ายเราได้ประโยชน์ร่วมกันหรือถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็ทำ ดังนั้น กลไกหลักสำคัญในการสร้างและทำลายวัฏจักรของการคอร์รัปชันของประเทศไทย คือ คนไทยทุกคน
การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันจึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนที่เป็นผู้เสียผลประโยชน์ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้สร้างกลไกให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐได้โดยตรงเช่น สิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ และสิทธิการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ประชาชนยังใช้กลไกการตรวจสอบเหล่านี้ได้ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากกฎเกณฑ์การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐยังไม่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง และความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และภาคธุรกิจที่กระทำการทุจริต (มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2557)
อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถใช้กลไกอื่นในต่อต้านการทุจริตและเรียกร้องถึงการทำงานที่ไม่โปร่งใสของเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ การสอดส่อง การแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิด การร่วมเป็นสักขีพยาน หรือการเคลื่อนไหวทางสังคม เป็นต้น แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวทางสังคม ซึ่งถือเป็นการลงโทษทางสังคมอย่างหนึ่งที่มักจะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและเกิดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมได้มากกว่าวิธีการอื่นๆ และเป็นแนวทางสำคัญในการต่อต้านการคอร์รัปชั่นในสังคมไทยยุคร่วมสมัยนี้อีกด้วย
หากกล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางสังคมมีผู้ให้คำนิยามแตกต่างกันออกไป โดย McCarthy และ Mayer Zald (1977) อธิบายว่าเป็น “ชุดความเห็นหรือความเชื่อของประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งแสดงออกถึงเจตนารมณ์ในการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบหนึ่งๆในสังคม” ขณะที่ Sidney G. Tarrow (2011) อธิบายว่าเป็นการกระทำแบบรวมหมู่ของกลุ่มคนที่มีเป้าหมายสอดคล้องเป็นอันหนึ่งกันเดียวกันเพื่อท้าทายอำนาจหรือฝ่ายตรงข้าม ขณะที่สุวิดา ธรรมมณีวงศ์ (2543) ระบุว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นขบวนการเรียกร้องของกลุ่มคนจํานวนหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทิศทางที่ตนปรารถนา โดยกลุ่มคนจํานวนหนึ่งเหล่านี้อาจมีนับพันหรือนับหมื่น ได้เข้าร่วมเรียกร้องโดยมีการจัดระเบียบทางสังคมอย่างหลวมๆซึ่งแต่ละกลุ่มอาจมีระดับของการมีส่วน
ร่วมแตกต่างกัน ลักษณะร่วมบางประการของการเคลื่อนไหวทางสังคมคือ ผู้เข้าร่วมเคลื่อนไหวมีจุดมุ่งหมายที่
แน่ชัด (goal-oriented) และมีความตั้งใจที่จะทําการเปลี่ยนแปลง (intentional change) โดยมีอุดมการณ์ร่วมกันว่าการเคลื่อนไหว จะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมในทิศทางที่ตนปรารถนา
ทั้งนี้การต่อต้านคอร์รัปชันโดยภาคประชาชนสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ (thaipublica, 2014) คือ 1. การเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างไม่เป็นทางการผ่านการรวมตัวของมวลชนที่ออกมาประท้วงในรูปแบบของ “ม็อบ” และ 2. การเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างเป็นทางการผ่านการรวมกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมหรือองค์กรเอกชน (Civil Society Organization and NGO) ซึ่งขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านคอร์รัปชันที่ดำเนินการโดยองค์กรเอกชนหรือ NGO ที่มีบทบาทมากที่สุดในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับโลก ได้แก่ องค์กรความโปร่งใสสากล หรือ Transparency International (TI) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการต่อต้านคอร์รัปชันและส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสขึ้นทั่วโลก ขณะที่องค์กรอิสระของไทยที่มีบทบาทโดดเด่นในด้านการต่อต้านคอร์รัปชันในปัจจุบันมี 3 องค์กร คือ องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand: TT) และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (Anti-corruption Thailand: ACT) และแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Collective Action Coalition: CAC)
องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (TT) เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2543 ด้วยการริเริ่มจากแนวคิดของนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมพลังประชาสังคมที่ต้องการสร้างความโปร่งใสให้สังคมไทย โดยการผนึกกำลังของปัจเจกบุคคล และองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน ตลอดจนองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ซึ่งบทบาทมีเพียงการจัดกิจกรรมปลูกฝังจิตสำนึกและให้ความรู้ด้านต่อต้านการทุจริตเป็นสำคัญ เช่น โครงการค่ายอบรมผู้นำเยาวชน ก่อตั้งชมรมเยาวชนเพื่อความโปร่งใส รวมถึงผลักดันหลักสูตร “โตไปไม่โกง” เข้าเป็นเนื้อหาหลักสูตรระดับชั้นประถมศึกษาเท่านั้น
ขณะที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) เกิดขึ้นจากการริเริ่มของคุณดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทยในสมัยนั้น ที่เป็นแกนกลางในการสร้างภาคีเครื่อข่ายกับภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษาและองค์กรระหว่างประเทศที่ต้องการแก้ปัญหาคอร์รัปชันเข้าไว้ด้วยกัน และใช้ชื่อว่า “ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และจดทะเบียนในรูปของมูลนิธิองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ให้ข้อมูลเพื่อกระตุ้นให้สังคมตื่นตัว เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน ดำเนินงานโดยไม่เลือกปฏิบัติ หากเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณะ และมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง รวมทั้งดำเนินงานอย่างโปร่งใส พิจารณากลั่นกรองทุกขั้นตอน ตลอดจนให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีภาคีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 53 องค์กร อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย สมาคมธนาคารไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ป.ป.ท. สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย เป็นต้น(www.anticorruption.in.th)
จากแนวทางดังกล่าวทำให้ ACT สามารถสร้างเครือข่ายการทำงานต่อต้านการทุจริตได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งช่วยกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวกับปัญหาทุจริต อีกทั้ง ACT ทำกิจกรรมโดยใช้แนวร่วมจากภาควิชาการ สื่อมวลชน และหน่วยงานต่อต้านการทุจริตของรัฐ ในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่อต้านการทุจริตในหลายระดับ ซึ่งมีความครอบคลุมกว่า TT ทั้งยังเป็นองค์กรภาคประชาสังคมแบบเคลื่อนไหวทางสังคม (Thai Publica, 2015) โดยกิจกรรมมีตั้งแต่การสร้างจิตสำนึกต่อต้านการทุจริต ผ่านกระบวนการให้ความรู้ การใช้สื่อออนไลน์เพื่อทำให้เกิดการสื่อสารสาธารณะในวงกว้าง อาทิ กิจกรรมปฏิบัติการ “หมาเฝ้าบ้าน” ในการติดตามตรวจสอบโครงการสำคัญของรัฐการเสนอให้รัฐใช้ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อติดตามตรวจสอบและเข้าร่วมสังเกตการณ์ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และที่มีบทบาทสำคัญอีกหนึ่งเครือข่ายอิสระของภาคเอกชนคือแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Collective Action Coalition: CAC) ที่ภาคเอกชนรวมตัวกันขึ้นเพื่อสนับสนุนนโยบายการไม่จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2562) มีบริษัทที่ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมต่อต้านคอร์รัปชันกับโครงการ CAC แล้วจำนวน 937 บริษัท และมีบริษัทที่ผ่านการรับรองว่ามีกลไกต่อต้านการทุจริตที่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์แล้ว 366 บริษัท (Thai-CAC, 2019)
อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของสื่อดิจิทัลโดยเฉพาะสื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์เอื้อประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวทางสังคม เนื่องจากการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลนั้นเป็นการสื่อสารสองทาง ทำให้ผู้รับสารสามารถเปลี่ยนสถานะไปเป็นผู้ส่งสารได้ จึงเป็นการกระจายอำนาจของการสื่อสาร ทั้งนี้ยังมีลักษณะส่งเสริมการรวมกลุ่มกันทางสังคมและการร่วมมือกันในการกระทำาการหนึ่งๆ ในโลกเสมือนได้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวทางสังคมด้านการเมืองในยุคดิจิทัลจึงเป็นขบวนการที่สามารถเกิดได้ง่ายกว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคสื่อสารมวลชน
(นิชคุณ ตุวพลางกูร, 2561)
นักทฤษฎีหลายคนระบุว่า อินเทอร์เน็ต เป็นสื่อที่เข้ามาช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่มชนชั้นล่างที่ทำให้เกิดผลกระทบมากกว่า (Kavanaugh et al 1998; Tadros 2005) ความคิดนี้มีพื้นฐานอยู่บนความคิดที่ว่าอินเทอร์เน็ตทำให้การสื่อสารและการประสานงานระหว่างกลุ่มเครือข่ายมีความสะดวกสบายมากขึ้น ขณะที่ Ka-vanaugh (2005) พบว่าสมาชิกของภาคประชาสังคมที่ใช้อินเทอร์เน็ตจะเพิ่มระดับของความสนใจและการมีส่วนร่วมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาคระชาสังคมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความแพร่หลายของการในอินเตอร์เน็ตบนมือถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ช่วยให้นักเคลื่อนไหวทางสังคมสามารถใช้อินเตอร์เน็ตและ social media เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Bohler-Muller & van der Merwe 2011)
เครือข่ายสังคมออนไลน์ และ social movement จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เพราะกลายเป็นพื้นที่ให้ผู้คนมาพบปะ มาเคลื่อนไหว มาพบปะสังสรรค์ สร้างญัติ สร้างพลัง สร้างแนวร่วมแนวคิด สร้างกลุ่มพลัง ร่วมกันกลายเป็นพลังทางสังคมรูปแบบใหม่ ซึ่งรัฐแทบทุกรัฐบนโลกนี้กำลังผจญกับความปั่นป่วนเพราะประชาชนจะไม่อดทนอยู่แค่เพียงในกรอบ ขอบเขตรัฐ ที่จำกัดในเชิงพื้นที่ทางกายภาพเท่านั้น คนใต้ คนเหนือ คนอีสานสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้ (อัฎธิชัย ศิริเทศ, 2018) ผู้คนมีช่องทางการสื่อสารที่ทำให้เกิดแรงจูงใจในการที่จะเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น และไม่ทนการการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่อไป ซึ่งการเคลื่อนไหวทางสังคมในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐมีองค์ประกอบที่สำคัญของการเคลื่อนไหวก็คือ การสื่อสารกับสังคม โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ที่เปิดกว้างในการถ่ายทอดและส่งต่อความเคลื่อนไหวให้เป็นที่รับรู้แบบลูกโซ่ จากหนึ่งคน-สองคน สู่ผู้คนอีกจำนวนที่ประเมินค่าไม่ได้ (กิตตินันท์ นาคทอง, 2556)
กรณีศึกษาที่โดดเด่นจนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม คือความเคลื่อนไหวทางสังคมในการต่อต้านการทุจริตในภาครัฐของชาวอินเดีย ที่ปลุกกระแสโดยนาย อันนา ฮาซาเร เริ่มตั้งองค์กร NGO ที่ชื่อว่า The Bharshtachar Virodhi Jan Andolan หรือ People’s movement against Corruption และใช้การต่อสู้แบบอหิสาตามแนวทางของมหาตมะคานธีนั่นคือการอดอาหารในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นตั้งคณะกรรมการสอบสวนรัฐมนตรี 4 คนที่มีส่วนพัวพันกับการทุจริต การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนเข้ามาเป็นแนวร่วมเป็นจำนวนมาก จากนั้นนายอันนาและกลุ่มเพื่อนได้ร่วมกันสร้างเว็บไซต์ ipaidabribe ที่เปิดโอกาสให้คนอินเดียที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับสินบนในการติดต่อราชการทั้งทางตรงและทางอ้อมสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ผ่านทางเว็บไซต์ หลังจากนั้นข้อมูลจำนวนมากที่มาจากเสียงจริงๆ ของประชาชนก็กลายเป็นแรงกดดันให้หน่วยราชการของอินเดียต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการและแก้ปัญหาการเรียกรับสินบน การทำแคมเปญที่อาศัยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในลักษณะนี้ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ (พิษณุ พรหมจรรยา, 2560).
สำหรับประเทศไทยกรณีศึกษาการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในการเรียกร้องความโปร่งใสการบริหารงานของเจ้าหน้าที่รัฐมีอย่างต่อเนื่องอาทิ กรณีของกลุมคนที่มีเงินฝากอยูกับธนาคารออมสินพร้อมใจกันออกไปถอนเงินฝากออกจากธนาคารเป็นจํานวนเงินมากกว่า 120,000 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 2-3 วัน เพื่อคัดค้านไม่ให้ผู้อํานวยการธนาคารออมสินนําเงินฝากดังกล่าวไปให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ในโครงการรับจํานําข้าว ทั้งนี้กลไกในการเคลื่อนไหวสำคัญคือการแชร์ภาพข้อความและภาพบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างๆที่ไปถอนเงินผ่านสื่อโซเชียล หรือกรณีของ ศศิน เฉลิมลาภ นักอนุรักษ์แห่งมูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้ใช้วิธีการรณรงค์ด้วยการเดินเท้าจากหน่วยพิทักษ์ป่าแม่เรวา อุทยานแห่งชาติแม่วงก์จังหวัดนครสวรรค์เข้ากรุงเทพฯ โดยใช้เวลาเดินเท้า 13 วัน ในช่วงเดือนตุลาคม 2556 ด้วยระยะทาง 388 กิโลเมตร เพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ของรัฐบาล เพราะรัฐบาลเข้าแทรกแซงและแบนสื่อกระแสหลักบางส่วน รวมทั้งการกระทำของรัฐบาลขาดความโปร่งใสในการนำเสนอข้อมูลโครงการก่อสร้างเขื่อนมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท โดยมีผู้ลงนามสนับสนุนในเฟซบุ๊กมากกว่า 120,000 รายชื่อ นอกจากแกนนำความเคลื่อนไหว อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ประสบผลสำเร็จคือการทำข้อมูลสื่อสารเผยแพร่สู่สาธารณะที่เข้าใจง่าย ซึ่งแนวร่วมแต่ละคนใช้ความสามารถที่ตนเองมีในการถ่ายทอดเนื้อหาและช่วยกระจายออกไปสู่สาธารณะผ่านทางสังคมออนไลน์
นอกจากนี้ยังมีกรณีการเปิดโปงถึงความไม่โปร่งใสของเจ้าหน้าที่รัฐในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 จุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดจากการตั้งข้อสังเกตของภาคประชาชนในห้องหว้ากอเว็บไซต์ pantip.com ที่ตั้งข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องมือดังกล่าว กรณีดังกล่าวนำไปสู่การขยายผลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และวงเงินงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานจัดซื้อซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของ ป.ป.ช. และอีกกรณีที่โดดเด่นจนสร้างผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ คือ ความเคลื่อนไหวจากสังคมโซเชียลมีเดียในการคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ถูกเสนอให้มีการแก้ไขข้อความเพื่อลบล้างความผิดเกี่ยวกับการคอร์รัปชันของบุคคลทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดพลิกผันสำคัญอันนำไปสู่การประกาศยุบสภาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เนื่องมาจากกระแสต่อต้าน พ.ร.บ.ดังกล่าวที่ประชาชนต่างขึ้นข้อความภาพสัญลักษณ์การคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นรูปโปรไฟล์ ทั้งในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือทวิตเตอร์ และรวมพลังคัดค้านไปตามสถานที่ชุมนุมต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมกับการประกาศจุดยืนของสถาบันองค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และหน่วยงานอิสระ
จากกรณีต่างๆในข้างต้นจะเห็นได้ว่าขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแต่ละขบวนการเป็นปรากฎการณ์ที่มีบริบทเฉพาะของตนเอง แต่การที่ขบวนการเคลื่อนไหวจำนวนมากหันมาใช้สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ในการระดมทรัพยากรและระดมคนให้เข้าร่วมในขบวนการเคลื่อนไหว ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเหล่านี้มียุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น โดยในปัจจุบันการเข้าร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นผ่านการปรากฎตัวในการเดินขบวนตามท้องถนนหรือการประท้วงเสมอไป แต่สามารถเกิดขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมในโลกออนไลน์ อันหมายรวมถึง การกดถูกใจ (like) กดแชร์ (share) การแสดงความคิดเห็น (comment) ในเฟซบุ๊ก หรือการ
รีทวีต (retweet) ในทวิตเตอร์ด้วย (ภาณุภัทร จิตเที่ยง, 2560) ซึ่งจากกรณีศึกษาต่างในข้างต้นสามารถสรุปองค์ประกอบของความสำเร็จในสร้างการเคลื่อนไหวทางสังคมในการต่อต้านการทุจริตในภาครัฐมีดังนี้
- นักเคลื่อนไหวทางสังคม เป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องราวที่จะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างดี มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำภารกิจให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ มีภาวะของความผู้นำทางความคิดและทักษะการโน้มน้าวใจที่ดี และสิ่งสำคัญคือการต่อสู่ด้วยแนวทางอหิงสา ซึ่งช่วยสร้างความเห็นอกเห็นใจและกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาของกลุ่มสังคมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การใช้ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมาเป็นสมาชิกกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น ดารา ศิลปิน นักวิชาการ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ จะยิ่งช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนในการระดมพลังมวลชนได้อย่างรวดเร็ว
- เนื้อหา จะเห็นได้ว่าในทุกการเคลื่อนไหวทางสังคม มักจะมีเนื้อที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนและผลประโยชน์เพื่อสาธารณะในภาพรวม เนื้อหาต้องแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากต่อการเอาชนะอุปสรรคอย่างลำพังและต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากคนอื่นๆเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ รวมทั้งแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ความชอบธรรม ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตลอดจนเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม ขนบ และศีลธรรมอันดีที่สังคมควรยึดถือปฏิบัติ ทั้งนี้เนื้อหาที่ใช้ในการเคลื่อนไหวที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จมักเป็นไปในเชิงบวกและมีสาระสำคัญเพียงประเด็นเดียว เพื่อให้เกิดเอกภาพของการรวมกลุ่ม
- การจัดการเนื้อหา เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เนื้อหามีความชัดเจนคือการออกแบบเนื้อหาสารที่ต้องกระชับ ชัดเจน ตรงไปตรงมา และเข้าใจได้ง่าย การสร้างสรรค์คำ ข้อความ ภาพหรือวาทกรรมที่จริงใจ ดึงดูดความสนใจและกินความหมายมากๆที่สะท้อนเป้าประสงค์และคุณค่าของการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน เหล่านี้ต้องอาศัยการจัดการเนื้อหาสารอย่างดีและรอบคอบ ตลอดจนการวางแผนการใช้สื่อในการเผยแพร่ข้อความออกสู่สาธารณะผ่านช่องทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับการใช้สื่อของประชาชนกลุ่มเป้าหมายด้วย
- สัญลักษณ์ การเคลื่อนไหวทางสังคมจะไม่สามารถขับเคลื่อนได้เลยหากขาดภาพสะท้อนตัวตนที่ต้องการให้เกิดความร่วมมือร่วมใจอย่างเป็นรูปธรรม โดยผ่านการปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ที่สมาชิกของกลุ่มรับรู้ร่วมกัน การใช้สัญลักษณ์จะเป็นเหมือนตัวแทนและแกนกลางของการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ภายใน เป้าประสงค์และอัตลักษณ์ของกลุ่มเคลื่อนไหว ซึ่งอาจเลือกใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาในการสร้างสัญลักษณ์ที่มีร่วมกันภายในกลุ่ม เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีเดียวกัน หมวก หน้ากาก โลโก้ ข้อความ ฯลฯ
- สื่อสังคมออนไลน์ สื่อสมัยใหม่ในปัจจุบันเปิดโอกาสให้ผู้รับสารมีสถานะและบทบาทในเชิงรุกมากขึ้น จากความสามารถในการสื่อสารได้สองทิศทางแบบทันท่วงที ทำให้บ่อยครั้งการรวมกลุ่มทางสังคมมักเริ่มต้นจากสื่อออนไลน์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการต่อต้านการทุจริตในสังคมไทยในหลายกรณี เพราะสามารถเชื่อมโยงกลุ่มสังคมต่างๆเข้าด้วยกันกลายเป็นเครือข่ายของนักเคลื่อนไหว และสามารถค้นหา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณะได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกครอบงำจากอิทธิพลของอำนาจใด จึงทำให้ผู้รับสารเป้าหมายได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างสมดุลและกว้างขวาง ทั้งยังสามารถรวมกลุ่มกันในโลกเสมือนเพื่อแสดงออกถึงพลังของการเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าสื่อใหม่จะกลายเป็นช่องทางสำคัญที่สนับสนุนการแสดงออกทางความคิดของมวลชน ซึ่งเป็นกลไกแห่งวิถีประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวทางสังคมด้านการเมืองในยุคดิจิทัลก็ใช่ว่าจะประสบผลสำเร็จเสมอไป จึงต้องพิจารณาถึงค่านิยม ความเชื่อ อุดมการณ์ของฝ่ายผู้มีอำนาจในสถาบันทางสังคมและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (นิชคุณ ตุวพลางกูร, 2561)
ด้วยเหตุนี้การเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนถือเป็นบทบาทสำคัญในการป้องกันการ
คอร์รัปชัน ขณะเดียวกันประชาชนในฐานะพลเมืองของสังคมต้องแสดงพลัง และมีจิตสำนึก โดยภาคประชาชนต้องเข้าไปมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในกระบวนการต่อต้านการทุจริต โดยเน้นการติดตามตรวจสอบโครงการสำคัญๆ ของรัฐ หรือเป็นโจทก์ร่วมในการยื่นฟ้องผู้กระทำการทุจริต การแสดงตัวเป็นพยานในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ รวมทั้งผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจนช่วยกันติดตามสอดส่อง (Investigative Agency) พฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลหรือส่อไปในทางทุจริตของบุคคลและองค์กรภาครัฐ ซึ่งกลไกจากการเคลื่อนไหวทางสังคมในเชิงรุกดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการแก้ไขปัญหาทุจริตให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
ความท้าทายของการป้องกันการทุริตคอร์รัปชันในภาครัฐ
จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาทุจริต คือรัฐต้องกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม และควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังแทนการใช้อำนาจดุลพินิจ มีมาตรการทางด้านกฎหมายในการปราบปรามโดยตรง และมาตรการในการป้องกันทุจริตคอร์รัปชั่นโดยการให้ทุกภาคส่วนร่วมกันศึกษาเรียนรู้และทำความเข้าใจและช่วยกันเผยแพร่ เพื่อให้รู้เท่าทันนักการเมืองในปัจจุบันได้โดยให้สื่อมวลชน องค์กรอิสระ และองค์กรตรวจสอบภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะป้องกันการคอร์รัปชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ศิริวรรณ, 2555) นอกจากนี้ยังต้องสร้างค่านิยม ความมีจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งอยู่ในระดับปัจเจกบุคคล และส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับธรรมาภิบาลให้เป็นที่ยอมรับในทุกภาคส่วนของสังคม เหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันได้ (พิชญ์ณิฐา พรรณศิลป์และคณะ, 2016) อย่างไรก็ดีการแก้ไขปัญหานี้จะสำเร็จลุล่วงได้ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาสังคมต้องเผชิญกับความท้าทายดังต่อไปนี้
การสร้างวัฒนธรรมของความโปร่งใส
ในการจัดการกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ทุกภาคส่วนจะเป็นต้องร่วมมือกันในการสร้างวัฒนธรรมของชาติที่มีจริยธรรม ความโปร่งใส และไม่ยินยอมต่อการทุจริตทุกรูปแบบ ซึ่งหากทุกหน่วยงานร่วมสร้างวัฒนธรรมของความโปร่งใสซื่อสัตย์ และการแยกระหว่างส่วนตัวกับสาธารณะ รวมทั้งการสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และลดแรงจูงใจให้เกิดการคอรัปชั่นจะนำมาซึ่งการป้องกันและลดปัญหาการคอรัปชั่นในประเทศไทยให้หมดไปอย่างยั่งยืน
การพัฒนาบุคลากร
การส่งเสริมและพัฒนาความรู้ให้กับบุคลากรภาครัฐโดยมุ่งให้ความสำคัญกับผลสำเร็จหรือผลงานมากกว่าการทำเสร็จ เหมือนเช่นที่ผ่านมาในอดีตการให้ความสำคัญกับผลสำเร็จหรือผลงานทำให้มีความคุ้มค่ามากขึ้นโดยมีการประเมินผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีตัวชี้วัด (key performance indicator, KPI) ที่ถูกกำหนดไว้ก่อนการปฏิบัติงานซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพึงพอใจของประชาชนนับเป็นตัวประเมินผลที่สำคัญ ตลอดจนส่งเสริมให้บุคลากรภาครัฐมีความตระหนักถึงความสำนึกรับผิด (accountability) ต่อประชาชนและองค์กรมากขึ้น ยึดกฎหมายเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่มากกว่าการใช้ดุลพินิจหรือตามอำเภอใจ (ปธาน สุวรรณมงคล, 2558)
ในขณะที่ภาคประชาสังคมต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับการการรู้เท่าทันการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อเป็นเกราะป้องกันและสร้างการตระหนักรู้และทัศนคติเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ของพลเมืองมากขึ้นหลังจากได้รับข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐและแหล่งอื่นๆ มากขึ้น ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการบริหารภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมในการเรียกร้อง ร้องเรียน และฟ้องร้องต่อศาลในกรณีที่ถูกละเมิดสิทธิ อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนทัศนคติสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ผ่านการเรียนรู้ใน 3 รูปแบบ คือ การสื่อสารผ่านทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงขั้นอุดมศึกษา การสื่อสารกับประชาชนผ่านสื่อต่างๆ และการสื่อสารจากภาครัฐ ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับกระบวนการทางยุติธรรมและกฎหมาย (สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย, 2557)
การปรับปรุงขั้นตอนการทำงานภาครัฐ
การปรับเปลี่ยนระบบและขั้นตอนการทำงานให้มีความรวดเร็ว และประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณมีความคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งวัดได้จากความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ ตลอดจนปรับเปลี่ยนระบบราชการเป็นระบบเปิดและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางมีส่วนร่วมในการบริหารภาครัฐอย่างหลากหลายและเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยการปรับเป็น Digital-Government ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น การจ่ายค่าภาษีหรือต่อทะเบียนรถ และการใช้ Electronic Payment ซึ่งจะทำให้เงินไหลเข้าไปในระบบของรัฐบาลได้ทันทีและสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐต้องเชื่อมโยงข้อมูลกับประชาชน ภาคธุรกิจและหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐบาล เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยตอบสนองความต้องการที่หลากหลายอาทิ สามารถส่งมอบบริการภาครัฐที่ดีขึ้นให้กับประชาชน ปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม การเสริมพลังพลเมืองผ่านการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งประโยชน์ที่ได้จะทำให้การทุจริตน้อยลง เพิ่มความโปร่งใสและความสะดวกสบาย ตลอดจนสามารถเพิ่มรายได้ให้กับประเทศอีกด้วย
การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบของประชาชน
แม้ว่ารัฐจะสร้างกลไกในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐโดยเฉพาะกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเริ่มต้นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในหน่วยงานที่อิงมาตรฐานของราคา ระบบการตรวจสอบและจริยธรรมของผู้ตรวจสอบภายในของหน่วยราชการ ไปจนถึงขั้นตอนการอนุมัติงบประมาณจากกรมบัญชีกลาง และมีการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน การตรวจสอบเรื่องร้องเรียนโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และการปราบปราบโดย สำนักงาน ป.ป.ท. และ สำนักงาน ป.ป.ช.แล้วก็ตาม แต่นั่นอาจยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาเรื้อรังนี้ได้ เนื่องจากรัฐเองก็ประสบปัญหาในหลายๆ ด้าน ทั้งกำลังคนที่ไม่เพียงพอ เกิดการทุจริตของผู้ตรวจสอบ การทุจริตที่เกิดขึ้นมาจากข้าราชการหรือนักการเมืองระดับสูง ข้อจำกัดของหน่วยงานตรวจสอบที่ถูกกำหนดขอบข่ายงานไว้อย่างชัดเจน ซึ่งภาคประชาสังคมเป็นอีกหนึ่งหนทางที่มีความสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้น
การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
สื่อดิจิตอลและสื่อใหม่ในปัจจุบันเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้กับการแสดงออกทางความคิดที่หลากหลายและสร้างการมีส่วนร่วมได้มากขึ้น ซึ่งผู้รับข้อมูลกลายเป็นทั้งผู้ส่งข้อมูลได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดการรวมกลุ่มของคนที่มีความคิด อุดมการณ์และค่านิยมในแบบเดียวกัน จนเกิดเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ในโลกออนไลน์ ซึ่งสื่อใหม่ยังช่วยให้การส่งต่อข้อมูลได้ในแบบเรียลไทม์ สร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากสื่อแบบเก่าอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ภาคประชาชนจึงควรเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีสื่อใหม่ให้เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ในการตรวจสอบการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิด
อย่างไรก็ดีแม้ว่าการใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดระดับของการคอรัปชั่นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในรัฐบาลที่มีการควบคุมข้อมูลออนไลน์ในระดับสูงมักเกี่ยวข้องกับการทุจริตในระดับที่สูงขึ้นเช่นกัน และอาจส่งผลต่อการเข้าถึงและการใช้งานเทคโนโลยีของประชาชนได้อย่างเต็มที่ ความท้าทายจึงอยู่ที่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐที่สามารถเผยแพร่ได้อย่างอิสระหรือไม่ อย่างไร ซึ่งประเด็นนี้มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางการเมือง โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและเศรษฐกิจ และกฎหมาย นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการสร้าง พัฒนาระบบ และการบำรุงรักษาเป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอีกด้วย (Sofia Wickberg, 2013)
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เทคโนโลยีการสื่อสารได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยขยายพื้นที่ทางความคิดและพื้นที่ในการแสดงออกทางความคิดของสังคมที่แตกต่างไปจากเดิม ประชาชนมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้พื้นที่ของการรวมกลุ่มของสมาชิกนั้นแคบลงและใกล้ชิดกว่าที่เคย อันเนื่องมาจากการสื่อสารบนโลกออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็วและสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มสังคมได้อย่างทันท่วงที ซึ่งทำให้สมาชิกสามารถรวมตัวและสร้างเครือข่ายที่เหนียวแน่นเพื่อทำกิจกรรมเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่าเดิม เทคโนโลยีการสื่อสารจึงอาจเป็นความหวังใหม่ของการเคลื่อนไหวทางสังคมในการยุติปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐได้สำเร็จในอนาคตอันใกล้
รายการอ้างอิง
ภาษาไทย
กิตตินันท์ นาคทอง. (2556). วิวัฒนาการ และคำเตือนถึง “ม็อบคนกรุงฯ” ยุคโซเชียลมีเดีย. ผู้จัดการออนไลน์ 11 พ.ย. 2556. [ออนไลน์] https://mgronline.com/columnist/detail/9560000140429
โชคสุข กรกิตติชัย. (2561). 1 ปี หลังการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ. สำนักวิชาการ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพฯ.
เดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคณะ. (2560). รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการ “ประมวลองค์ความรู้ด้านการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการลดคอร์รัปชัน”. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2561). รายงานธุรกรรมการชำระเงินประจำไตรมาส 1 ปี 2561. ฝ่านนโยบายระบบการชำระเงิน [ออนไลน์] https://www.bot.or.th/Thai/Statistics/Payment
Systems/Documents/Q1_2561.pdf
นิชคุณ ตุวพลางกูร. (2561). การเคลื่อนไหวทางสังคมด้านการเมืองในยุคดิจิทัล: กรณีศึกษาการคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และการต่อต้านระบบซิงเกิลเกตเวย์. วารสารศาสตร์, ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (2018): ฉบับเดือน มกราคม – มีนาคม 2018 ฉบับ”ก้าวที่ย่างอย่างสื่อสารศึกษา.
ปธาน สุวรรณมงคล. (2558). การบริหารงานภาครัฐกับการสร้างธรรมาภิบาล. สถาบันพระปกเกล้า : กรุงเทพฯ.
พิชญ์ณิฐา พรรณศิลป์, ภักดี โพธิ์สิงห์ และสัญญา เคณาภูมิ. (2559). การคอรัปชั่นในระบบราชการไทย : แนวทางการป้องกันและแก้ไข. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, ปีที่ 4 ฉบับที่ 2
พิษณุ พรหมจรรยา. (2560). กระแสโลกของการต่อต้านคอร์รัปชัน. Boardroom Magazine, Anti- Corruption in practice, Vol..53, Issue 03/2017: 36-40.
———————–. (2560). ‘สังคมดี๊ดี สองนาทีง่ายๆ’ ให้ประชาชนช่วยสร้างความโปร่งใส. Boardroom Magazine, Anti- Corruption in practice, Vol..54, Issue 04/2017: 58-59.
ภวินทร์ เตวียนันท์. (2560). แกะรอยผูกขาด ป้องกันทุจริตคอร์รัปชันด้วย Big Data. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ). กรุงเทพฯ.
ภาณุภัทร จิตเที่ยง. (2560). เหรียญสองด้านของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เจาะลึก Social Movement. [ออนไลน์] 6 ธันวาคม 2560. https://thematter.co/pulse/two-side-of-social-movement/41000
มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. (2557). เมนูคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์. มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. กรุงเทพฯ.
วิชาญ ทรายอ่อน. (2559). “Big Data” ในภาครัฐ. สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กรุงเทพฯ.
ศิริวรรณ มนอัตระผดุง. (2555). สถานการณ์การคอร์รัปชั่นของประเทศไทย. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์, ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2555.
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. (2561). ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย (Corruption Situation Index: CSI). องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. 15 กุมภาพันธ์ 2561.
สุวิดา ธรรมมณีวงศ์. (2543). การเคลื่อนไหวทางสังคม .วารสารอักษรศาสตรมหาวิทยาลัยศิลปากร 2 .ธันวาคม 2543-พฤษภาคม 2544 :32-54.
สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย. (2557). คอร์รัปชันหลุมดำประเทศไทย: พฤติกรรมเคยชินที่ทำลายไทยโดยไม่รู้ตัว. สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย : กรุงเทพฯ.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, ก.พ.ร.. (2560). GOVERNMENT 4.0 : TIME TO TRANSFORM. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ: กรุงเทพฯ.
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ, ป.ป.ท.. (2562). รายงานผลการดำเนินการปราบปรามการทุจริตของสำนักงาน ป.ป.ท. ประจำเดือน มกราคม 2562. [ออนไลน์] 14 กุมภาพันธ์ 2562. http://www.pacc.go.th/index.php/home/view_
content/45/3694.
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, ป.ป.ช.. (2562). ป.ป.ช. และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หาแนวทางในการร่วมมือทำงานต่อต้านการทุจริต. ข่าวสำนักงาน ป.ป.ช., วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562. [ออนไลน์] 1 มีนาคม 2562. https://www.nacc.go.th/download/article/article_20190301171218.pdf
—————————————————————————————-. (2562). สถานการณ์การทุจริตในปัจจุบันกับอนาคต เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เชื่อว่าการทุจริตของไทยจะลดลง. ข่าวสำนักงาน ป.ป.ช., วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562. [ออนไลน์] 1 มีนาคม 2562. https://www.nacc.go.th/download/article/article_20190301172312.pdf
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย), ACT. (2562). เปิดตัว ‘เครื่องมือสู้โกง (ACT Ai)’ติดอาวุธหนักสังคมไทยขจัดคอร์รัปชัน. [ออนไลน์] 6 มีนาคม 2562. http://www.anticorruption.in.th/2016/th
อัฎธิชัย ศิริเทศ. (2561). อำนาจของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คคืออำนาจของประชาชน. [ออนไลน์] 19 กุมภาพันธ์ 2561. http://thaingo.in.th/news/?p=content&act=type&type=39
Thaipublica. (2014). ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านคอร์รัปชัน (ตอนที่ 1) : TI กับการผลิต Franchise สินค้าต่อต้านคอร์รัปชัน. [ออนไลน์] 4 เมษายน 2557. https://thaipublica.org/2014/
04/transparency-international/
………………….. (2015). บทบาทประชาสังคมกับการปลดล็อกคอร์รัปชัน (3): จุดสกัด CSOs ไทย อุปสรรคด้านเงินทุน รัฐสนับสนุนไม่เต็มที่. [ออนไลน์] 9 ตุลาคม 2558. https://thaipublica.org/
2015/10/civil-society-organization-3/
ภาษาอังกฤษ
Bohler-Muller, N., & Van der Merwe, C. (2011). The potential of social media to influence socio-political change on the African Continent. Policy Brief, Africa Institute, South Africa.
John D. McCarthy and Mayer N. Zald. (1977). Resource Mobilization and Social Movements: A Partial Theory. American Journal of Sociology, Vol. 82, No. 6 (May, 1977), pp. 1212-1241
Kanchana D. G. & Samarakoon A. K.. (2018). The Role of E-governance in Curbing Public-Sector Corruption (A Theoretical Overview). OUSL Journal, 2018 Vol. 13, No. 01. pp. 5-27.
Kavanaugh, A., Carroll, J. M., Rosson, M. B., Reese, D. D., & Zin, T. T. (2005). Participating in civil society: the case of networked communities. Interacting with Computers, 17(1), 9-33.
Kim Kibum & Kang Taewon. (2017). Does Technology Against Corruption Always Lead to Benefit? The Potential Risks and Challenges of the Blockchain Technology. 2017 OECD Global Anti-Corruption & Integrity Forum.
Klaus Schwab, Prof., World Economic Forum. (2017). The Global Competitiveness Report 2017–2018. World Economic Forum: Geneva.
PricewaterhouseCoopers Consulting (Thailand) Ltd., PwC. (2018). Shining a light on fraud Awareness is the first step towards fighting economic crime. PwC’s 2018 Global Economic Crime and Fraud Survey: Economic Crime and Fraud in Thailand.
PricewaterhouseCoopers Consulting Ltd., PwC. (2019). 22nd Annual Global CEO Survey: CEOs’ curbed confidence spells caution. [Online] Retrieved from www.pwc.com.
Sofia Wickberg. (2013). Technological innovations to identify and reduce corruption. Transparency International.
Sidney G. Tarrow. (2011). Power in movement: social movements and contentious politics. 3rd edition. Cambridge university press : United States of America.
Tadros, M. (2005). Knowing the Promises, Facing the Challenges: The Role of the Internet in Development and Human Rights Campaigns and Movements in the Arab Middle East. In Leatherman, J. & Vebber, J., Charting Transnational Democracy: Beyond Global Arrogance. New York: Palgrace Macmillan, 173-193.
Transparency International. (2019). Corruption Perceptions Index 2018. Transparency International.
