กระแสความตื่นตัวเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 มักจะปรากฏในช่วงทุกปลายปีที่ทำให้ประชาชนเริ่มตระหนักถึงปัญหามลพิษทางอากาศเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องนานหลายสัปดาห์ แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนปัญหาเรื่องฝุ่นดูบรรเทาเบาบางลงไปเพราะลมเปลี่ยนทิศและมีน้ำฝนช่วยชะล้าง ทำให้ประชาชนเริ่มคุ้นชินกับสถานการณ์และไม่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาเหมือนเช่นเดิม
แต่ในความเป็นจริงฝุ่นละออง PM 2.5 ไม่ได้จางหายไปไหน และยังคงอยู่โดยรอบ เพียงแต่เราไม่รู้ตัว
ฝุ่น PM 2.5: ความท้าทายของว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่
การเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเร่งด่วนและกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะการแก้ไขในระดับนโยบาย ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ฝุ่น PM2.5 ว่าเป็นเพียงหนึ่งในปัญหามลพิษทางอากาศที่ต้องแก้ไข ซึ่งยังมีมลพิษทางอากาศในรูปแบบของแก๊สต่างๆ และควรพิจารณาไปถึง PM 1.0 เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นระดับนาโนและสร้างผลกระทบต่อสุขภาพอย่างยิ่ง เพราะความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญคือการที่ประชาชนมีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ภาคประชาชนยังต้องร่วมมือในการตรวจสอบและไม่สนับสนุนภาคเอกชนที่สร้างมลพิษและขาดความรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่อาจแก้ปัญหาได้อย่างลำพังหากขาดความร่วมมือจากประชาชน ด้วยเหตุนี้การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากนักวิชาการจะช่วยการสร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งนักวิชาการมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการสร้างการตัดสินใจที่ถูกต้องทั้งต่อประชาชนและรัฐบาล
ถ้ำฝุ่น: ความร่วมมือครั้งใหม่ของคนไทย
อาจารย์สุนิสา ชื่นเจริญสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ เปรียบปัญหาฝุ่น PM2.5 ครั้งนี้ว่าคล้ายคลึงกับกรณีของ “ถ้ำหลวง” เนื่องจากประชาชนทุกคนตื่นตัวกับสถานการณ์ เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นที่ไม่อาจหาทางออกของปัญหาได้เฉกเช่นเดียวกับการติดอยู่ในถ้ำของฝุ่น ซึ่งรัฐบาลไม่มีมาตรการใดรองรับทำให้ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนและเด็กนักเรียน จึงได้พยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง โดยบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วนและเครือข่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงเรียน ซึ่งมาตรการเร่งด่วนแรกที่ทางโรงเรียนดำเนินการคือการสั่งปิดโรงเรียนในวันที่ค่าฝุ่นอยู่ในเกณฑ์อันตราย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กนักเรียน และคลายความกังวลให้กับผู้ปกครอง
อย่างไรก็ตามในระยะแรกโรงเรียนยังไม่ทราบถึงแนวทางในการแก้ไข จึงได้ขอความร่วมมือจากคณะครูในการค้นหาข้อมูลและองค์ความรู้ เพื่อเข้าใจถึงสาเหตุและหาแนวทางในการป้องกัน ทำให้ค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับวงจรของฝุ่น ซึ่งนำมาใช้ในการวางแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างๆมาให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เหล่านักเรียน ผู้ปกครองและครู เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหา และรู้จักป้องกันตนเองเบื้องต้นด้วยการใส่หน้ากาก
อีกแนวทางที่โรงเรียนดำเนินการคือการพยายามจำกัดสาเหตุของการเกิดฝุ่น นั่นคือการจราจรภายในโรงเรียน เพราะในภาวะปกติจะมีรถเข้ามาส่งบุตรหลานในทุกเช้าประมาณเกือบ 1,000 คัน แต่มีที่จอดรถประมาณ 300 คัน ซึ่งทำให้การจราจรในโรงเรียนติดขัดทั้งขาเข้าขาออก จึงได้ปรับการจราจร โดยวางแผนทำจุดทางเท้าขึ้นใหม่ และให้วนรถจอดรับส่งนักเรียนด้านนอกโรงเรียน แล้วเดินเท้าเข้ามาประมาณ 300 เมตร เพื่อลดปริมาณรถที่จะปล่อยควันพิษในโรงเรียน และยังได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองในการทำ car pool เพื่อลดจำนวนของรถยนตร์ที่มารับส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้อีกมาตรการที่น่าสนใจคือการปรับเวลาเข้าเรียน จากปกติ 7.30 น.เป็น 9.00 น. เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่จราจรคับคั่งแถวรอบโรงเรียน ซึ่งนอกจากจะบรรเทาปัญหาฝุ่นลงได้แล้ว ยังทำให้ชุมชนโดยรอบพึงพอใจอีกด้วย คณะครูยังได้ร่วมกับนักเรียนช่วยกันเก็บกวาดห้องเรียน เพื่อขจัดแหล่งสะสมฝุ่น จัดทำอุโมงค์ม่านน้ำป้องกันฝุ่น จัดฝึกอบรมการทำเครื่องฟอกอากาศราคาประหยัด มีการวัดค่าฝุ่นและติดป้ายประกาศภายในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เด็กนักเรียนทราบว่าถึงสถานการณ์และเข้าใจถึงแนวปฏิบัติเมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งยังคอยติดตามดูแลเด็กนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาทางเดินหายใจอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการบูรณาการความรู้ในห้องเรียนเพื่อให้เด็กมีความรู้ในการปฏิบัติตัวและรับมือกับปัญหาฝุ่น
ชุมชนแออัด : กลุ่มที่ถูกทอดทิ้งให้จมฝุ่น
คุณนุชนารถ แท่งทอง แกนนำเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่าคนในชุมชนไม่ได้ตื่นกลัวกับปัญหานี้มากนัก เพราะต้องออกไปข้างนอกเพื่อหารายได้ ทำให้ต้องเผชิญกับฝุ่นโดยตรงและขาดการป้องกัน ส่วนคนที่พอมีฐานะจะสามารถซื้อหน้ากากมาใส่ แต่เป็นเพียงหน้ากากธรรมดา ซึ่งแกนนำมองว่ากลุ่มชุมชนแออัดถือเป็นกลุ่มได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงกับปัญหานี้ได้ นอกจากนี้ด้วยคุณภาพชีวิตที่ไม่สูงมากจึงไม่อาจหาอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน สิ่งที่ทำได้คือการร่วมมือร่วมใจโดยการไม่เผาขยะ และมุ่งหวังให้ทุกคนในชุมชนแออัดรู้สึกตื่นตัวมากกว่านี้ โดยเสนอให้มีการจัดการสภาพแวดล้อมในชุมชนให้ดี เช่น การกำจัดสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ชุมชนด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงการเผาทำลาย ป้องกันตัวเองด้วยการปลูกต้นไม้เพื่อช่วยฟอกอากาศที่สามารถปลูกในกระถางได้ในพื้นที่ชุมชน ซึ่งในขณะนี้คนในชุมชนมีอาการป่วยทางเดินหายใจค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ดีพอ และไม่สามารถหลีกหนีปัญหานี้ได้ ซึ่งสิ่งที่ชุมชนแออัดพอจะทำได้ คือการพูดคุยเพื่อขอความร่วมมือกับคนในชุมชนในการงดการเผาขยะ การกวาดถนนโดยรดน้ำก่อนกวาด นอกจากนี้ยังระบุว่าไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าไปให้ความรู้ และการจัดการที่ดีให้กับชุมชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ มีเพียงบางชุมชนเท่านั้นที่ได้รับการแจกหน้ากากฟรี เพราะมี อสม. ส่วนชุมชนไหนที่ไม่มี อสม. ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือและให้ความสำคัญจากหน่วยงานเท่าที่ควร
ฝุ่น PM2.5: ภัยเงียบที่อยู่รอบตัว
รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง พรรณทิพา ฉัตรชาตรี อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปรียบเทียบสถานการณ์ถ้ำฝุ่นคล้ายกับกรณีถ้ำหลวงที่ควรทำมาใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา เพราะสภาพปัญหามีความคล้ายคลึงคือความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา แต่ประเทศไทยก็สามารถเอาชนะกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จได้อันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจ และการทำหน้าที่ของตนเองตามศักยภาพและความสามารถที่พึงมีอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ยังนำเสนอข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของเด็กในช่วงที่เกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 โดยพบว่าจากการทดสอบภูมิแพ้ในเด็กจำนวนมากไม่ได้แพ้สารก่อภูมิแพ้ แต่น่าแปลกที่เด็กยังป่วยอยู่ ซึ่งสาเหตุหลักสำคัญมาจากมลภาวะที่ทำให้คนที่ป่วยง่ายขึ้น คนที่มีความเสี่ยงสูงจะป่วยง่ายขึ้นและป่วยนานกว่าเดิม ทั้งยังทำให้โรคมีความรุนแรงขึ้น ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ซ้อนอยู่ โดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรคแต่แท้ที่จริงแล้วเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ จึงได้ให้ความสำคัญกับคนไข้กลุ่มเสี่ยงเป็นอันดับแรก ซึ่งปัจจุบันเราเห็นว่าความร่วมมือมากขึ้นและมีการวัดที่ครอบคลุมมากขึ้น
จากสถานการณ์ฝุ่นที่ผ่านมาถือเป็นภาวะวิกฤต เพราะฝุ่น 2.5 สามารถส่งผลต่อสมอง หลอดเลือดในสมองตีบ หัวใจ และมีโอกาสในการเป็นมะเร็งในปอดสูงขึ้น หอบหืด หลอดลมอักเสบ ผู้หญิงที่มีครรภ์ถ้าได้รับมากเกินไปจะทำให้น้ำหนักตัวของเด็กที่คลอดออกมาน้อยได้ และมีอาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังจะศึกษาต่อไป เปัญหาเรื่องฝุ่นส่วนใหญ่จึงเป็นปัญหาต่อสุขภาพในระยะกลาง และระยะยาว ส่วนในระยะสั้นอาจไม่ได้เกิดผลที่ชัดเจนเพราะยังไม่ถึงจุดอันตรายที่อาการของโรคต่างๆจะแสดงออกมา ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขาดความตะหนักตื่นตัว ซึ่งฝุ่นก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากกับคนไข้กลุ่มเสี่ยง คือกลุ่มที่มีโรคปอด โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมอง
นอกจากนี้ยังทำการทดลองปริมาณฝุ่นทั้งภายในและภายนอกบ้านของผู้ป่วย เพราะสังเกตเห็นว่าคนไข้ที่รักษาหายไปนานแล้วกลับมาป่วยอีก จึงเริ่มมองหาสาเหตุโดยนำเครื่อง monitor PM 2.5ไปวัดที่บ้านของผู้ป่วยในช่วงเดือนมกราคมก่อนเกิดวิกฤต โดยเลือกสำรวจ 5 ครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวที่อยู่แถวถนนจันทร์ รามคำแหง ทวีวัฒนา พบว่าค่าฝุ่นค่อนข้างสูงและไม่แตกต่างมากนักทั้งจากนอกบ้านและในบ้าน จึงคาดว่าสาเหตุมาจากฝุ่นจากนอกบ้านที่เข้าสู่ภายในบ้าน
ค่าฝุ่นที่วัดภายนอกบ้านผู้ป่วย
ค่าฝุ่นที่วัดภายในบ้านผู้ป่วย
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการทดสอบการป้องกันฝุ่นจากหน้ากากประเภทต่างๆ ซึ่งตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการต่างประเทศ พบว่าหน้ากากผ่าตัดของแพทย์ก็สามารถกรองฝุ่นได้ จึงเสนอแนะให้มีการทดสอบหน้ากากที่ขายอยู่ในตลาด การผลิตและมองหาวัสดุที่ราคาไม่แพง และสามารถกรองอากาศได้มาก หรือเครื่องกรองอากาศที่มีราคาย่อมเยาที่สามารถใช้ได้ทั่วไป และยังพบว่าราคาไม่สัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการป้องกัน ซึ่งประเด็นเหล่านี้อยากให้มีการพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมอย่างจริงจัง แม้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจะต้องใช้ระยะเวลา แต่ประชาชนทุกคนควรตระหนัก รู้จักป้องกันตนเอง และทำหน้าที่ตามความสามารถตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อให้ปัญหาถูกแก้ไขอย่างจริงจัง
มาตรฐานที่ไม่ได้มาตรฐาน
ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เสนอให้มีการกำหนดมาตรฐานที่เหมาะสม และได้ทำข้อเสนอโครงร่าง กฏหมายอากาศสะอาดสำหรับประเทศไทย พบว่าจากการพูดคุยกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับมักมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพราะปกติในต่างประเทศจะมีการสำรวจตลอดปี แต่สำหรับประเทศไทยจะตรวจสอบเฉพาะช่วงเวลา ซึ่งการจะต้องตรวจสอบการสะสมมลพิษต้องดูในระยะยาวด้วย ซึ่งถ้ามองภาพทั้งปีอาจจะสูงกว่าค่ามาตรฐานนิดหน่อยเป็นค่าที่ยอมรับได้ แต่ถ้าพิจารณาแบบ snap shot รายวันอาจทำให้ดูรุนแรง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการเป็นเขต Zero Emission ซึ่งแตกต่างเขตที่อยู่อาศัย และเสียภาษีในด้านนี้อยู่แล้ว แต่จะถูกกำหนดให้ใช้ค่ามาตรฐานเดียวกันจึงเป็นเรื่องยาก
นอกจากนี้ที่กำลังดำเนินการกันในทุกวันนี้คือปลายเหตุ แต่ต้นเหตุคือประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการจัดการสิ่งแวดล้อม เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตร 57 กำหนดไว้ชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ได้รับข้อมูลคำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยงานราชการ หน่วยของรัฐ รัฐวิสาหกิจและราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาต หรือการดำเนินโครงการ หรืออุตสาหกรรมใด ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยคุณภาพชีวิต จึงเสนอให้จัดการที่โครงสร้าง โดยให้มี พรบ. กฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) ซึ่งสามารถถูกรองรับด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 66 มาตรา 67 มาตรา 73 มาตรา 290 ได้ โดยนิยามควันดำให้ชัดเจนและลงในรายละเอียด การจำกัดอันตรายการปลดปล่อยฝุ่นและขี้เถ้าลอย อุปกรณ์ดักจับมลพิษ พื้นที่ควบคุมมลพิษทางอากาศ และให้อำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น การควบคุมมลพิษทางอากาศบางประเภท หมวดกรณีพิเศษรวมทั้งเสนอแนะให้รวม พรบ. ที่เกี่ยวข้องไว้เป็นฉบับเดียว และจัดตั้งสำนักพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น เพื่อมาจัดการกับปัญหาพิเศษด้านสิ่งแวดล้อม
จากนั้นพิธีกรเชิญชวนให้ กรีนพีซเข้ามาร่วมแสดงความเห็น ซึ่งระบุว่าข้าราชการไทยที่มีประสบการณ์ มีความรู้มีอยู่มากแต่อยู่ภายใต้กรอบการทำงานหน่วยงานรัฐจึงทำให้การทำงานไม่ประสบผล และ เสนอให้มีการปรับค่ามาตรฐานและการปรับค่า AQI ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งได้ปรึกษากับกรมควบคุมมลพิษแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร ซึ่งยังต้องทำดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป
กฎหมายสิ่งแวดล้อม: ยาวิเศษบรรเทาฝุ่น ?
ผศ.ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่ากฎหมายอาจไม่ใช่แก้วสารพัดนึกและไม่ใช่ยาแก้สารพัดโรค และตัวกฎหมายเองเป็นต้นเหตุของปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมีแต่กฎหมายเขียนไว้ แต่ไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย หรือบังคับใช้กฎหมายที่ถูกบิดเบือน ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย สังคมเปลี่ยนกฎหมายย่อมเปลี่ยนได้ และบางกฎอาจไม่ได้เปลี่ยนได้โดยง่าย ซึ่งถ้าพูดถึงกฎหมายสิ่งแวดล้อมจะมี 2 มิติที่เป็นทั้งเชิงกว้างและลึก ทั้งยังเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ โรงงาน แหล่งกำเนิดมลพิษ และเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง ทั้งที่เกี่ยวกับกฎหมาย และนโยบายต่างๆอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการทำงานแบบร่วมกัน เพราะต้องใช้กฎหมายร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และคู่ขนานไปกับการลงโทษ (command & control) โดยให้ความรู้กับประชาชนไปด้วย และจะทำให้กฎหมายแข็งแรงขึ้น ต้องให้รางวัลจูงใจ มีการใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์มาช่วย ต้องออกแบบโครงสร้างเชิงสังคมให้เหมาะสม โดยพิจารณาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องในสังคมทั้งหมด และสนับสนุนให้มีองค์กรสิ่งแวดล้อม และทำหน้าที่เป็น conductor ซึ่งเสนอมานานแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลเท่าที่ควร และสนับสนุนให้มีการจัดทำ Clean Air Act ที่เป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ยังได้ชี้ให้เห็นว่า กฎหมายอากาศสะอาดในต่างประเทศยังมีกฎหมายย่อยเฉพาะ แต่ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายดังกล่าว เช่น พรบ อากาศสะอาดของอังกฤษ 1993 ถึง 2019 ของสหรัฐปี 1990 ฟิลิปปินส์ ซึ่งยังครอบคลุมไปถึงเรื่องก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย ในขณะที่ พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 กลับไม่มีนิยามที่ละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับฝุ่น และไม่ได้คำนึงสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร อีกทั้งกฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมกระจัดกระจายในหลายที่ เช่น พรบ. สาธารณสุข พรบ.โรงงาน พรบ. รถยนตร์ พรบ.ขนส่งทางบก กฎหมายการปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเสนอให้มีการบูรณาการและปฏิรูปกฎหมายใหม่ โดยให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ และเชี่ยวชาญเข้าไปยกร่างและดำเนินการดังนี้
- จัดทำกฎหมายอากาศสะอาด
- การกำหนดค่ามาตรฐานที่เหมาะสมและเป็นสากล
- การทำทำเนียบหรือบัญชีสารพิษ มลพิษ และก๊าซเรือนกระจก ประเภทต่างๆ
- การทำให้ EIA เกิดประสิทธิผลตรงตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง
- จัดทำพรบ.มาตรการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม
รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงภาพข้อมูลทางสถิติจากกรมควบคุมมลพิษเป็นรายชั่วโมง โดยช่วยเช้า PM 2.5 และ PM10 จะเพิ่มในตอนเช้า ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายควรต้องทราบข้อมูลเหล่านี้เพื่อออกมาตรการให้เหมาะสมกับ ช่วงเวลา และแสดงข้อมูลรายปี ซึ่งประเทศไทยตั้งเป้าไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าที่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อปี ในปี 2012 UERO4 คือมาตรฐานรถยนต์และการปลดปล่อยมลพิษ จากแผนภาพถ้าประเทศไทยกำหนดมาตรฐานตามมาตฐานสากล จะทำให้เห็นว่าประเทศไทยจะต้องจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะทุกๆไมโครกรัมที่เพิ่มขึ้นต่อครอบครัว จะสร้างมูลค่าความเสียหาย 18.420 ล้านบาท/ปี และจากการศึกษาของ World Bank และ Institute for Health Metrics and Evaluation ซึ่งสำรวจในปี 2556 พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศประมาน 48,000 คนต่อปี และสร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 871,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังศึกษานโยบายอากาศสสะอาดจากประสบการณ์ต่างประเทศของ Isen, Rossin-Slater & Walter (2017) พบว่า การเกิดมลพิษที่สูงในปีเกิด จะมีผลต่อมนุษย์ในภายหลัง และจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานลดลง ตลอดจนทำให้รายได้ลดลงกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่การศึกษาของ Chay & Cireenstone (2003) พบว่า ทุกๆ 1% ที่ลดลงใน TSPs จะส่งผลอัตราการตายของทารกแรกเกิดลดลง 0.5% และ Clean Air Act 1970 ช่วยให้เด็กทารกเสียชีวิตลดลง 1,300 คน ในปี 1972 ในขณะที่การศึกษาของ Bento, Freedman & Lang (2015) พบว่าความหนาแน่นของฝุ่น PM10 ที่เพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ราคาบ้านลดลง 0.6%
ส่วนการเสนอแนะเชิงนโยบายเห็นว่าควรมีการออกกฎหมายโดยให้เสริมแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์ลงไปด้วย โดยใช้วิธีการสร้างแรงจูงใจและกลไกด้านราคา เช่นการเก็บอัตราภาษีเพิ่ม การกำหนดระดับการควบคุมมลพิษแบบทางตรงหรือทางอ้อมเป็นต้น หรือการควบคุมผ่านราคาสินค้า หรือจะแทรกแซงทางในเรื่องของปริมาณ เช่น ในเรื่องของการค้าใบอนุญาตการปล่อยมลพิษ หรืออาจจะควบคุมในเรื่องของการกำหนดการใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็น 3 มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่ควรนำมาประยุกต์ใช้ ซึ่งการกำหนดกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม อาจไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจแย่เสมอไป หากมีการออกแบบกฎหมายและสร้างแรงจูงใจที่ดีด้วย ซึ่งสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนมาตรการระยะสั้น กลาง และยาว คือการสร้างการตระหนักรู้ถึงอันตรายของฝุ่นพิษเป็นอันดับแรก ได้แก่ การสร้างการตระหนักรู้ถึงอันตรายให้ทุกคนได้รับทราบเพื่อให้เกิดความตื่นตัวในป้องกันตนเอง เพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มากขึ้นในพื้นที่เสี่ยง การส่งเสริมองค์ความรู้ในการวิจัยเพื่อนำผลจาการวิจัยมาสร้างการตระหนักรู้ การปรับมาตรฐานคุณภาพอากาศให้เข้มงวดมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเสนอแนวทางในการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาคือ ลดการปล่อยฝุ่นพิษจากการเผาไหม่ของเชื้อเพลิงรถยนตร์ โดยเคร่งครัดการตรวจับควันดำ การงดการดัดแปลงรถ การเก็บภาษีรถเก่า การจำกัดปริมาณรถในเขตเมืองที่การจราจรคับคั่ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่ง ปรับปรุงแผนและการจัดการด้านขนส่งและจราจรให้ดีขึ้น ยกมาตรฐานน้ำมันและไอเสียจากระดับ EURO 4 เป็น EURO 5 ส่งเสริมและยกระดับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตที่ใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมการใช้ EV การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากการกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การลดฝุ่นพิษจากการเผาในที่โล่งแจ้งในภาคเกษตรทั้งในและต่างประเทศ โดยขอความร่วมมือของเกษตรกรกับภาคเอกชนรับซื้อ หรือทำเอาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาทำปุ๋ยหมัก หรือเป็นอาหารแก่ปศุสัตว์ และใช้ในโรงไฟฟ้า
การบูรณาการคือหัวใจของการแก้ปัญหา
หมอวิรุฬ เสอนแนะแนวทางแก้ไขปัญหา โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนและจัดให้มีการร่างกฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งต้องอาศัยทีมนักกฎหมายและผู้ที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันทำ อีกสิ่งที่เริ่มดำเนินการแล้วคือการทำสมุดปกขาว เพื่ออากาศสะอาดประเทศไทย ซึ่งร่วมจัดทำโดยนักวิชาการ และบุคลากรวิชาชีพ ในทุก ๆ สาขา ที่รวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ที่ทันสมัย และสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย ทั้งเสนอเชิญชวนให้ทุกสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมกันส่งบทความ ซึ่งจะมีกองบรรณาธิการเป็นผู้ประมวล และสังเคราะห์องค์ความรู้ออกมาใน 5 สาขา ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพ ด้านสังคม ด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านกฎหมาย ส่วนที่ 3 คือความร่วมมือจากภาคประชาชน โดยอาจารย์ ผศ.ดร. ธีรยุทธ โหรานนท์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ ที่รวบรวมจากข้อมูลของเครื่องวัดที่ประชาชนมีอยู่แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ยและกำหนดค่าตัวคูณเพื่อปรับให้ได้ตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นระบบที่สามารถจะ monitor คุณภาพอากาศในพื้นที่ของตัวเองได้ ซึ่งเรียกว่า system monitor หรือเรียกย่อๆว่า C air โดยจะนำข้อมูลมาเป็นตัวเปรียบเทียบ กับ แอร์โฟร์ไทย แอร์วิชัวล์ AQI ว่าค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในพื้นที่เป็นอย่างไร พร้อมทั้งเชิญอาจารย์ธีรยุทธ มาอธิบายแนวคิด หลักการและระยะเวลาในการดำเนินการของโครงการ
ทั้งนี้ อ. ธีรยุทธนำเสนอระบบคัดกรอง citizen air monitor ซึ่งเป็นระบบที่เฉลี่ยข้อมูลคุณภาพอากาศจากทุกตัววัดคุณภาพอากาศแล้วหาค่าเฉลี่ย จาก 60 จุดทั่วประเทศของกรมควบคุมมลพิษ และขอความร่วมมือข้อมูลจากประชาชนในการใช้เครื่องตรวจวัดที่กระจายอยู่ในทุกชุมชน เพื่อการติดตามที่ครอบคลุม โดยเป็นการมอนิเตอร์ที่บ้านของเราเอง และหน่วยกลางจะทำหน้าที่ประมวลผลเฉลี่ยให้ ซึ่งประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการวัด ซึ่งอ. ศิระ มองว่าอาจมีความคลาดเคลื่อนของตัวเลขที่นำมาใช้ได้ อันเกิดจากปัจัยแวดล้อมต่างๆที่เข้ามามีผลกระทบได้ สอดคล้องกับและอ. คนึงนิจ ที่เสนอแนะให้มีการทำให้ง่ายขึ้น
หลังจากฟังการเสวนาจากทุกท่าน พิธีกรยังได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมร่วมเสนอความคิดเห็นและแนะนำแนวปฏิบัติ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจจากผู้เข้าร่วมฟังการเสวนาดังนี้
- การรณรงค์และสนับสนุนให้มีการปลูกต้นไม้เพิ่มมากขึ้น
- มุมมองจากเด็กนักเรียน กล่าวว่าทางโรงเรียนมีการสนับสนุนความรู้ และให้ตระหนักอยุ่เสมอ และมองว่าเรื่องนี้ไม่ควรโทษใครเพราะเป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งการมีภาคีเครือข่ายและแต่ละคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้
- social movement จะประสบความสำเร็จได้ต้องเกิดจากความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่ร่วมทำงานในลักษณะเครือข่ายอิสระและทำงานอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ทีมงานได้ทำการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นที่ผู้เข้าร่วมเสวนาได้เขียนลงในกระดาษก่อนการเริ่มเสวนา โดยข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล แบ่งออกเป็นประเด็นดังนี้
- การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม การใช้มาตรการทางภาษีกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลภาวะทางอากาศ การรณรงค์ให้สถานประกอบการมีการบริหารจัดการสารพิษ และมลพิษทางอากาศ หน่วยงานที่มีอำนาจควรบังคับใช้มาตรการทางสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
- แนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อลดฝุ่น ได้แก่ การสนับสนุนรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า การกำหนดค่ามาตรฐานให้เข้ากับสากล การสร้าง city clean day การปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะ
- การใช้กฎหมายในการจัดการ คือการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับกฎหมายอากาศสะอาด
- การให้ข้อมูลแก่ประชาชน การประกาศให้ประชาชนเตรียมรับมือและป้องกันตนเองจากภาวะการเกิดฝุ่น การช่วยเหลือกันประชาชนที่มีรายได้น้อย
สำหรับภาคเอกชนมี 6 ข้อเรียกร้องดังนี้
- ภาคเอกชนควรตรวจสอบตัวเองว่าบริษัทและกิจการของตนเองนั้นผู้ปล่อยมลภาวะหรือไม่อย่างไร
- การปรับปรุงนโยบาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ข้อ
- ให้ทำ green technology โดยให้ปรับปรุงระบบการผลิตและเครื่องจักร
- ตรวจสอบอุปกรณ์ให้มีมาตรฐาน
- กำหนดมาตรการธุรกิจของตนเองต้องไม่สร้างผลกระทบต่อประชาชน
- การปรับเวลาทำงานลดชั่วโมง การทำงานในสำนักงานและส่งเสริมการทำงานแบบออนไลน์
- งดการเผาทั้งเชื้อเพลิงและเผาใด ๆ รวมทั้งกิจการปิ้งย่างทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภัตตาคารหรือร้านริมถนน ปล่องโรงงานต้องติดระบบกรองฝุ่น
- ต้องดูแลสุขภาพพนักงานและประชาชนที่ใกล้กับสถานประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบจากมลภาวะที่ธุรกิจได้สร้างขึ้น
- ต้องจริงจังและตรงไปตรงมาในการแก้ไขปัญหา ให้รู้ผลต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างจริงจังในการยุติปัญหาเหล่านี้
- การสร้างจิตสำนึกพนักงานให้ลดการก่อมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถที่ใดก็ตาม รวมทั้งสถานบริการน้ำมัน ซึ่งประชาชนควรให้ความร่วมมือด้วย
- ให้บริษัทเอกชนร่วมกันผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด
ส่วนสิ่งที่ประชาชนต้องทำ คือต้องมีความรู้ ต้องมีจิตสำนึก ต้องตื่นตัวและไม่ตื่นกลัว ต้องร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการหยุดฝุ่น ต้องส่งเสียงให้ดัง ๆ ต้องเรียนรู้เรื่องฝุ่นให้รู้ทัน และรู้ว่าโรคภัยจากฝุ่นคืออะไร ต้องมีการปรับตัวและป้องกันตัว ต้องผลักดันอากาศกฎหมายอากาศสะอาดร่วมกับอาจารย์ทั้งหลาย เพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบตัวด้วยการปลูกต้นไม้ มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและผลักดันให้หน่วยงานปฏิบัติตามกฎหมาย ลดการผลิตมลภาวะในชีวิตประจำวัน ดับเครื่องเมื่อจอดรถในที่ต่าง ๆ ใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนรถส่วนตัว ผลักดันให้ภาคธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม และอย่ารอความช่วยเหลือจากใคร งดการเผา ส่วนวัดและสถานที่บูชาต่าง ๆ โปรดลดการเผา ส่วนโรงเรียนต่าง ๆ ก็ต้องดูแลทั้งอาจารย์และนักเรียนเอกชน เสนอให้ตรวจสอบตนเองว่าปล่อยมลภาวะ ตรวจสอบนโยบาย ตรวจสอบให้มีมาตรฐาน กำหนดมาตรการต้องไม่ทำร้ายประชาชน ให้ทำงานที่บ้าน ติดระบบกรองฝุ่นสำหรับธุรกิจเกี่ยวข้องกับฝุ่น
ท้ายสุดถ้ามนุษย์หายใจไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรแล้วที่จะสำคัญไปกว่านี้ เพราะเรื่องอากาศเป็นเรื่องปลายเหตุ และอยากให้ร่วมกันแก้ไขที่ต้นเหตุ เพื่อให้ปัญหาบรรเทาและให้ประเทศไทยกลับมามีอากาศที่สดชื่นและหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง
